ไข้เลือดออก (ภาษาอังกฤษ : Dengue Fever) เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่พบมากในประเทศเขตร้อนและเขตอบอุ่น กรมควบคุมโรครายงานว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มาจากประเทศในแถบเอเชีย สำหรับประเทศไทยเคยมีการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2530 ซึ่งพบผู้ป่วยกว่า 170,000 ราย ปัจจุบันไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อที่มักมีแนวโน้มระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝน (ราวเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม) 

ไทยรัฐออนไลน์ ชวนมาทำความรู้จักสาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร กี่วันหาย พร้อมวิธีรักษาและป้องกันไข้เลือดออก ติดตามได้ที่นี่

รู้จักสาเหตุ "ไข้เลือดออก" เกิดจากอะไร?

ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ที่มียุงลายเพศเมียเป็นพาหะนำโรค โดยไวรัสชนิดนี้มี 4 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งแล้ว ก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก แต่ยังคงสามารถติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นๆ ได้นั่นเอง

ไข้เลือดออก มีระยะฟักตัวกี่วัน?

หลังยุงตัวที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดมนุษย์ ไวรัสนั้นจะเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดอาการป่วยก็จะตามมาในระยะเวลา 3-15 วัน (ประมาณ 1-2 สัปดาห์)

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อไหม?

ไข้เลือดออกไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน จึงไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้โดยตรง แต่อาศัย "ยุงลาย" เป็นพาหะนำโรค เช่น ยุงลายตัวหนึ่งไปกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี แล้วไปกัดอีกคนหนึ่ง ก็ทำให้คนนั้นป่วยเป็นไข้เลือดออกได้นั่นเอง

...

สรุป "ไข้เลือดออก" มีอาการอย่างไรบ้าง?

  • มีไข้สูงราว 39 – 40 องศา ต่อเนื่องเกิน 2 วัน
  • ปวดศีรษะ ปวดตา และปวดเมื่อยตามตัว
  • อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีแรง
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
  • สังเกตมีผื่นแดงที่ผิวหนัง ลำตัว แขน ขา

ทั้งนี้ อาการไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะไข้, ระยะวิกฤต และ ระยะฟื้นตัว

1. ระยะไข้
เริ่มมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส บางรายอาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส แม้กินยาลดไข้ไปแล้ว ไข้ก็อาจไม่ลดลง อีกทั้งมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาเจียน (ผู้ที่มีไข้สูงมาก ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล)

2. ระยะวิกฤต
ไข้เริ่มลดลง อาจยังคงมีอาการอ่อนเพลีย ซึ่งในผู้ที่ร่างกายแข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรง หรือไข้ขึ้นสูงมากๆ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลว หรือภาวะช็อก (ไม่ควรนิ่งนอนใจในผู้ที่มีอาการรุนแรง หากอาการแย่ลง เช่น มือเท้าเย็น ชีพจรเบาลง ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว) 

3. ระยะฟื้นตัว
ในระยะนี้อาการต่างๆ จะเริ่มดีขึ้นแล้ว ความรู้สึกอยากรับประทานอาหารเริ่มกลับมา ร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นฟูดีขึ้นจนกลับมาเป็นปกติ

วิธีรักษาอาการไข้เลือดออก กี่วันหาย?

อาการของโรคไข้เลือดออก สามารถหายเองได้ภายใน 1 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค) แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจุบันไม่มียาที่ใช้รักษาโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ แต่เป็นการรักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น 

ไข้เลือดออกในเด็ก อันตรายไหม?

อย่างที่ทราบว่า "ไข้เลือดออก" เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มอายุ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเด็กเท่านั้น เพียงแต่อาการไข้เลือดออกในเด็ก อาจจำเป็นที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าสังเกตและดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กๆ อาจไม่สามารถอธิบายอาการเจ็บป่วยที่ตนเองมีได้ดีเท่ากับผู้ใหญ่ รวมถึงเด็กๆ บางคนยังไม่ได้มีภูมิคุ้มกันหรือร่างกายแข็งแรงมากนัก 

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้ที่มีโรคประจำตัว, ผู่ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์, หญิงตั้งครรภ์, ผู้สูงอายุ ก็ถือเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หากป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก เนื่องจากอาจมีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

...

เปิดความหมาย "ไข้เลือดออกมือสอง" คืออะไร?

ไข้เลือดออกมือสอง คือ คำเรียกผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกอย่างใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ ลูก พี่น้อง ญาติพี่น้อง และคนรัก เนื่องจากอาการของไข้เลือดออกค่อนข้างทรมานร่างกายผู้ป่วย ทั้งไข้ขึ้นสูงจนหนาวสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ฯลฯ

ยิ่งทำให้ผู้ที่ดูแลใกล้ชิดมีความทรมานทางจิตใจไปด้วย เพราะไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีอาการหลายระยะ และไม่มียารักษาโดยตรง บางรายต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เจาะเลือดเพื่อเช็กเกล็ดเลือดอยู่เสมอ ซึ่งอาจทำให้ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องอดหลับอดนอน และรู้สึกกังวลใจ ราวกับเป็นผู้ป่วยเสียเอง จึงเป็นที่มาของการเรียกผู้ดูแลใกล้ชิดว่าเป็น "ผู้ป่วยไข้เลือดออกมือสอง" นั่นเอง

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก ที่ทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก เช่น เก็บภาชนะที่มีน้ำขังบริเวณบ้านหรือภายในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่
  • ระวังไม่ให้ยุงกัด เช่น สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ทาครีมกันยุง ฉีดสเปรย์ไล่ยุง เมื่อต้องเดินทางไปยังจุดที่มีความเสี่ยงอย่างแหล่งน้ำขัง ในสวน ริมป่า เป็นต้น
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เพื่อป้องกันความรุนแรงของเชื้อไวรัส และลดอัตราในการนอนโรงพยาบาล

...

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกหรือยัง?

ในปัจจุบัน (ปี 2568) ยังไม่มียาต้านไวรัสและยารักษาโรคไข้เลือดออกแบบเฉพาะ แต่จะเป็นการให้ยารักษาตามอาการเพื่อฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วย แต่สามารถฉีดวัคซีนไข้เลือดออก เพื่อป้องกันอาการรุนแรงของโรคได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการพิจารณาให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเป็นลำดับแรกๆ โดยต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีดวัคซีน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม