โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยโรคนี้มักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการมีโรคประจำตัวอื่นๆ แล้วไม่ได้ควบคุมหรือรักษาให้ดี เช่น โรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคหัวใจที่รุนแรง เช่น ‘หัวใจวายเฉียบพลัน’ หรือ ‘ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน’ จนนำไปสู่การเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

“เวลา” คือหัวใจของการรักษา

ในการรักษาผู้ป่วยหัวใจวิกฤต ความรวดเร็วคือกุญแจสำคัญ ยิ่งนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเร็วเท่าใด โอกาสในการรอดชีวิตก็จะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งในปัจจุบันเรามีนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจ หลากหลายวิธี ตามความเหมาะสมของกลุ่มโรค และแต่ละบุคคล เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำและได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ก้าวหน้า ในการประเมินสภาพหลอดเลือดหัวใจอย่างละเอียดและรวดเร็ว เช่น

การตรวจหลอดเลือดหัวใจหรือการสวนหัวใจ (Coronary Angiography; CAG)

เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการบ่งชี้ถึงปัญหาหลอดเลือดหัวใจ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือมีประวัติครอบครัวเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ การตรวจนี้จะใช้สารทึบรังสี (Contrast Dye) ฉีดเข้าสู่หลอดเลือดผ่านสายสวน และใช้เครื่องเอกซเรย์เพื่อถ่ายภาพการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งช่วยให้แพทย์เห็นสภาพหลอดเลือดอย่างชัดเจน และสามารถประเมินว่ามีการตีบหรืออุดตันในหลอดเลือดหรือไม่ รวมถึงระบุตำแหน่งที่ต้องการการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (Angioplasty) หรือการใส่ขดลวด (Stent)

...

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram; ECG)

เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบการทำงานของหัวใจและการเต้นของหัวใจ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) ได้ทันที เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง อย่างหัวใจหยุดเต้น นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับอาการอื่นๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute Myocardial Infarction) กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวผิดปกติ (Left Ventricular Hypertrophy) และภาวะการนำไฟฟ้าผิดปกติในหัวใจ โดยการตรวจ ECG มีขั้นตอนที่ง่าย ไม่เจ็บ ไม่มีความเสี่ยง และไม่ต้องเตรียมตัวพิเศษอะไรเพื่อตรวจ

การตรวจหลอดเลือดหัวใจและการไหลเวียนเลือดด้วยเทคโนโลยี FFR (Fractional Flow Reserve) และ IVUS (Intravascular Ultrasound)

เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินสภาพหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม สิ่งแรกคือ FFR (Fractional Flow Reserve) เป็นการวัดความแตกต่างของความดันเลือดในบริเวณที่มีการตีบ ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินได้ว่าการตีบของหลอดเลือดหัวใจในแต่ละจุดส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดมากน้อยเพียงใด ทำให้แพทย์เลือกวิธีรักษาได้อย่างแม่นยำว่าควรทำการรักษาด้วยการใส่ขดลวด (Stent) หรือผ่าตัดบายพาส (Bypass Surgery) และลำดับถัดไปคือ IVUS (Intravascular Ultrasound) เป็นเทคโนโลยีการอัลตราซาวด์ภายในหลอดเลือดที่ช่วยให้แพทย์เห็นลักษณะภายในของผนังหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน โดยสามารถระบุตำแหน่งและลักษณะของการตีบได้เป็นอย่างดี ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตรวจด้วยเครื่อง OCT (Optical Coherence Tomography)

ช่วยให้แพทย์ทราบถึงขนาดที่แท้จริงของหลอดเลือด และความยาวของรอยโรค เพื่อให้สามารถเลือกขนาดและความยาวของขดลวดหัวใจได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังสามารถประเมินตำแหน่งในการวางขดลวดหัวใจ เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้เครื่อง OCT ยังช่วยการประเมินหลอดเลือด หลังการใส่ขดลวดหัวใจ เช่น สามารถประเมินสภาวะของหลอดเลือดบริเวณขอบของขดลวดหัวใจ ว่ามีการฉีกขาดหรือมีลิ่มเลือดมาเกาะหรือไม่ สามารถประเมินการขยาย หรือการแนบกับหลอดเลือดของขดลวดหัวใจว่ามีประสิทธิภาพและขยายได้ตามขนาดที่กำหนดหรือไม่ ดังนั้น การตรวจด้วยเครื่อง OCT จึงทำให้มั่นใจว่าหลอดเลือดได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และปลอดภัยจากโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจด้วยการใช้ ECMO (Extracorporeal Membrane Oxygenation)

เพื่อการช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอดในผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤต เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปอดติดเชื้อรุนแรง โดยการนำเลือดออกจากร่างกายของผู้ป่วยผ่านเครื่องเติมออกซิเจนและกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อนจะส่งเลือดที่ได้รับการปรับสภาพกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้หัวใจและปอดของผู้ป่วยได้พักฟื้น และสามารถทำงานได้ดีขึ้นในระหว่างการรักษา การใช้ ECMO จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหรือปอดล้มเหลวรุนแรง โดยลดอัตราการเสียชีวิตได้ประมาณ 30 – 70% เทียบกับไม่ใช้เครื่อง ECMO โดยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การทำ Balloon Pump (Intra-Aortic Balloon Pump – IABP)

ในกรณีที่ต้องการเพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดภาระการทำงานของหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจวายหรือระหว่างการผ่าตัดหัวใจ เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของหัวใจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จะมีการใส่ท่อที่มีลูกโป่งเข้าไปในหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) โดยตัว Balloon Pump จะพองขึ้นในช่วงที่หัวใจคลายตัว (diastole) เพื่อเพิ่มเลือดเข้าสู่หลอดเลือดหัวใจ (coronary arteries) และยุบตัวในช่วงที่หัวใจบีบตัว (systole) เพื่อลดแรงดันหลัง (afterload) ที่หัวใจต้องเผชิญ ทำให้หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงจะมีโอกาสพ้นวิกฤติมากขึ้นด้วยเครื่องนี้

...

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น เพื่อช่วยในการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจมีหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละเทคนิคจะถูกเลือกใช้ตามความเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย และความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่ใช้ ดังนี้

การทำหัตถการสวนหัวใจ (Percutaneous Coronary Intervention; PCI)

เป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรืออุดตัน โดยไม่ต้องผ่าตัดแบบเปิด โดยการสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือไปยังหลอดเลือดหัวใจที่อุดตัน เพื่อแก้ไขให้เลือดสามารถไหลเวียนได้เป็นปกติด้วยการใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดและการใส่ขดลวด (Stent) เพื่อค้ำยันหลอดเลือดให้กว้างขึ้น และป้องกันการตีบซ้ำ เทคนิคนี้มีข้อดีคือ สามารถทำได้ในเวลาที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน และฟื้นตัวได้เร็ว

การผ่าตัดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting; CABG)

...

เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันรุนแรง หรือมีการตีบหลายจุด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการทำ PCI ได้ การผ่าตัด CABG มีข้อดีในการลดอาการเจ็บหน้าอกและลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โดยจะใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หลอดเลือดแดงบริเวณหน้าอกหรือแขน หรือหลอดเลือดดำที่ขา เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัดนี้แบ่งออกเป็นสองวิธีหลัก ได้แก่ On-Pump CABG เป็นการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมช่วยในการผ่าตัด  ข้อดีในรายที่เหมาะสมกับวิธีนี้  จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างลดลง  เช่น  อัมพฤกษ์ –  Off- Pump CABG ไม่ใช้เครื่องเหล่านี้ ทำให้หัวใจยังคงเต้นต่อไประหว่างการผ่าตัด

การเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยเทคนิค TAVR (Transcatheter Aortic Valve Replacement)

เป็นวิธีการรักษาลิ้นหัวใจที่ไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก เหมาะกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัดแบบดั้งเดิม เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ การรักษานี้จะใช้การใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านหลอดเลือด โดยใช้ท่อพิเศษที่สอดผ่านทางขาหนีบหรือบริเวณอื่นๆ เพื่อนำไปสู่ตำแหน่งของลิ้นหัวใจเอออร์ติก และทำการเปลี่ยนลิ้นหัวใจที่เสื่อมลง เป็นการรักษาที่ช่วยลดระยะเวลาฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าอก ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เร็วขึ้นเทคนิคต่างๆ ดังกล่าว ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพสูง แต่ยังเป็นการใช้เทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งจำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจในแต่ละกรณี

...

ฟื้นฟูหัวใจเฉพาะบุคคลและการดูแลอย่างต่อเนื่อง

หลังการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ การฟื้นฟูสุขภาพถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างแข็งแรง การฟื้นฟูหัวใจเฉพาะบุคคล ที่ได้รับออกแบบมาเพื่อช่วยในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การควบคุมอาหารและโภชนาการ และการจัดการความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจซ้ำ นอกจากนี้ยังต้องได้รับการติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดจากทีมพยาบาลที่ชำนาญการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจโดยเฉพาะ เพื่อให้คำแนะนำในการรักษาและปรับพฤติกรรมที่ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งส่งเสริมการ ดูแลตนเองที่บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ 

โรคหัวใจ ถ้าหากเรารู้ทัน และได้รับการรักษาที่รวดเร็ว ก็จะมีโอกาสรอดชีวิตสูง นั้นไม่ใช่เพียงคำเตือน แต่คือข้อเท็จจริงที่มีผลต่อชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว หากคุณหรือคนที่คุณรักมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อย่ารอช้า ให้รีบพามาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน 

ขอบคุณข้อมูล : นพ. ทวนทศพร  สุวรรณจูฑะ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจพญาไท Heart Master โรงพยาบาลพญาไท 2