หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย โดยเมื่อเราออกกำลังกาย หัวใจจะเร่งจังหวะการเต้นเพื่อรองรับความต้องการออกซิเจนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นกลไกปกติ แต่..หากคุณรู้สึกมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นแรง หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ ในระหว่างหรือหลังออกกำลังกาย นั้นอาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อย แต่เป็นสัญญาณของ “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” ที่ควรได้รับการวินิจฉัยอย่างจริงจัง
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคืออะไร?
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ คือ ภาวะที่ระบบไฟฟ้าภายในหัวใจที่ควบคุมจังหวะการเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป เต้นช้าเกินไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวหรือเกิดอย่างต่อเนื่องขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะที่เป็นอยู่
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะขณะออกกำลังกายเกิดจากอะไร?
หากร่างกายยังไม่พร้อม การออกกำลังกายอย่างหนักอาจกระตุ้นให้หัวใจตอบสนองเกินระดับที่ควรจะเป็น แม้ในภาวะปกติหัวใจจะปรับจังหวะเต้นให้เร็วขึ้นตามความต้องการของร่างกาย แต่บางครั้งระบบไฟฟ้าภายในหัวใจอาจทำงานผิดพลาด จนส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
...
- ออกกำลังกายหักโหมเกินระดับสมรรถภาพของตนเอง
- ร่างกายขาดน้ำหรือเกลือแร่ เช่น โซเดียม หรือโพแทสเซียม
- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- มีความเครียดสะสมหรือภาวะวิตกกังวล
- การบริโภคคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลังในปริมาณมาก
- มีโรคหัวใจแฝง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด หรือภาวะลิ้นหัวใจรั่ว
หากคุณมีอาการเหล่านี้ร่วมกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
- ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วอย่างชัดเจน แม้จะออกกำลังกายเบา ๆ
- รู้สึกเหนื่อยผิดปกติ ไม่สัมพันธ์กับระดับการออกกำลังกาย
- วิงเวียน หน้ามืด หรือเป็นลม
- เจ็บแน่นหน้าอก
- หายใจลำบาก
- หมดสติชั่วขณะ
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
การตรวจหัวใจในผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะขณะออกกำลังกาย โดยแพทย์อาจเลือกตรวจด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีร่วมกัน ได้แก่
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram – EKG) เพื่อตรวจจับความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- การตรวจหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test – EST) เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจขณะออกกำลังกาย
- การติดเครื่องวัดคลื่นหัวใจ 24-48 ชั่วโมง (Holter Monitor) เพื่อตรวจจับความผิดปกติสำหรับผู้ที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นช่วงๆ
- การตรวจเลือด เพื่อประเมินภาวะระดับเกลือแร่ หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อหัวใจ
การป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะขณะออกกำลังกาย
แม้ว่าภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภทอาจไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมากด้วยการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน เริ่มจากการเลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของตนเอง แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับความหนักของการออกแรง ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะหากออกกำลังกายในอากาศร้อน หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลังก่อนการออกกำลังกายทุกครั้ง
นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างความมั่นใจในการออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์