โรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นภัยเงียบที่อยู่คู่คนไทยและส่งผลกระทบในวงกว้าง ตั้งแต่ปัญหาสุขภาพส่วนบุคคลไปจนถึงภาระเศรษฐกิจระดับประเทศ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่มีความรุนแรง ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยต้องหันมาใส่ใจและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดีของวันนี้และอนาคตของคนรุ่นหลัง
สถานการณ์โรคอ้วนเป็นปัญหาระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้พยายามผลักดันให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญและออกมาตรการรับมือในปี 2565 ที่ผ่านมา
รวมถึงสถานการณ์โรคอ้วนในประเทศไทย นั้นเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขสำคัญในปัจจุบันอีกโรคหนึ่ง ข้อมูลจาก รศ. พญ. ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ รพ. รามาธิบดี เล่าให้ฟังว่า ประชากรไทย มากกว่าร้อยละ 40 นั้นกำลังมีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ข้อมูลยังชี้ว่าคนไทยกว่า 42% มีภาวะโรคอ้วน และ 39% มีภาวะอ้วนลงพุง ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าน้ำหนักเกินไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเรื่องรูปร่างแต่คือ "โรค" หนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย
โดยประเทศไทยติดอันดับ 4 ของประเทศที่มีจำนวนผู้มีภาวะน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าเราต้องรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ซึ่งโรคอ้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่นๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคไตเรื้อรัง โดยเกือบหนึ่งในสามของผู้ที่เป็นโรคอ้วนนั้นประสบกับภาวะของโรคเหล่านี้
ทำไมโรคอ้วน จึงอันตราย
เนื่องจากว่า “โรคอ้วน” นั้นไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย ได้แก่ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ประกอบด้วย โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง หรือจะเป็นโรคระบบจากต่อมไร้ท่ออย่าง เบาหวานที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
...
ยังไม่รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น การนอนกรน รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อีกทั้งยังทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร จำพวกกรดไหลย้อน อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อตามมาได้ เนื่องจากการรับน้ำหนักที่มากเกินไปอย่าง ปวดเข่า ปวดหลัง ข้อเสื่อม
ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น สาเหตุ และปัจจัยที่ทำให้ตั้งครรภ์ยาก ปัญหาด้านอารมณ์ ภาวะซึมเศร้า โรคกินตอนกลางคืน (Night Eating Syndrome)
ปัจจุบันภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนมีมากถึง 229 ภาวะ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประชากรไทย ที่ทุกคนต่างมองข้าม เพราะโรคอ้วนนั้นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากโรคที่ติดตามมาอย่างมากมายมหาศาล
วิธีตรวจสอบมวลกายว่าอ้วนหรือไม่ เช็กได้อย่างไร
การตรวจสอบดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) เป็นค่ามาตรฐานที่ใช้ประเมินภาวะอ้วน และผอมในผู้ใหญ่ สามารถคำนวณได้จาก น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง
- BMI เกิน 23: เข้าข่ายภาวะน้ำหนักเกิน (อวบ)
- BMI เกิน 25: เข้าข่ายโรคอ้วน
นอกจากนี้ ภาวะอ้วนลงพุงก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณอันตราย สามารถวัดได้จากเส้นรอบเอวที่ไม่ควรเกินส่วนสูงหารสอง หากเส้นรอบเอวเกินเกณฑ์นี้ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน ซึ่งอาจนำไปสู่อัมพฤกษ์ อัมพาตได้
เริ่มต้นเปลี่ยนเพื่อสุขภาพที่ดี วิธีลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนทำได้อย่างไร
การลดน้ำหนักที่ดีไม่ใช่แค่การลดตัวเลขบนตาชั่ง แต่เป็นการลดไขมันส่วนเกินและรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ การลดน้ำหนักแม้เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างมหาศาล
แน่นอนว่าสิ่งแรกเลยที่ทำได้ คือ "การออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมการกิน" เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและสำคัญที่สุด โดยผู้ที่ต้องการลดความอ้วนนั้น ต้องเน้นการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Healthy Eating) ไขมันน้อย รวมถึงการปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ซึ่งจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอในระยะยาวเพื่อป้องกันการกลับมาอ้วนซ้ำ
...
“การใช้ยา” เป็นอีกหนึ่งทางออกแต่ต้องอยู่ “ภายใต้การดูแลของแพทย์” เท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ในการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนบางราย ไม่สามารถปรับพฤติกรรมยังไม่สำเร็จ ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มี BMI ตั้งแต่ 27-30 ขึ้นไป หรือมีโรคร่วม ปัจจุบันมียาสำหรับโรคอ้วนที่ปลอดภัยในรูปแบบการฉีดคล้ายยารักษาเบาหวาน
"การผ่าตัด" สำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนรุนแรง ในกรณีนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ในคนไข้ที่มีความอ้วนมาก และไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นได้สำเร็จ รวมทั้งยังมีโรคร่วมหลายอย่าง แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดขนาดกระเพาะ ที่สามารถทำให้อิ่มเร็วขึ้น หรือผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหารเพื่อลดการดูดซึม แต่ต้องแลกมาซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมตลอดชีวิต และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างเคร่งครัด
จากเนื้อหาดังกล่าว ข้อมูลยังค้นพบว่ามีคนไทยที่มีภาวะอ้วนระดับ BMI 30 ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 15% และน่าตกใจที่ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 10%
...
โรคอ้วน กำลังเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจชาติ
ปัจจุบันโรคอ้วนนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพของแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบที่ลุกลามในการเพิ่มต้นทุนทางการแพทย์มหาศาล บั่นทอนกำลังแรงงาน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
โดยภัยเงียบนี้ กลายเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลต่อความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญลำดับต้นๆ ของโลกแล้ว โรคอ้วนยังสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในรูปแบบของประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น และอุปสรรคระยะยาวต่อการพัฒนาของประเทศไทยอีกด้วย
มีการประมาณจาก BMJ Global Health เมื่อปีพ.ศ. 2562 พบว่าโรคอ้วนส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่าร้อยละ 1.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือราว 220,000 ล้านบาท และคาดว่าตัวเลขนี้อาจสูงถึงร้อยละ 5 ของ GDP (หรือประมาณ 850,000 ล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2603 หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
สถานการณ์โรคอ้วนจึงกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้พยายามผลักดันให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญและออกมาตรการรับมือในปี 2565
จากเนื้อหาทั้งหมดที่คาดการณ์ไว้ว่า ปัจจุบันมีคนอ้วนทั่วโลกประมาณ 764 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 พันล้านคนภายในปี 2573 สำหรับประเทศไทย สถานการณ์น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน โดยคนไทยทุก 10 คน จะมีผู้น้ำหนักเกินหรืออ้วนถึง 4 คน ซึ่งเทียบเท่ากับสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 1 ใน 8 คน
ข้อมูลปี 2562 จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563 พบว่า คนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนถึง 42% หรือราว 23 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นโรคอ้วน 7 ล้านคน ภาวะเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตถึง 7.7% หรือประมาณ 42,000 รายต่อปี
...
เสียงสะท้อนจากภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องต่อสถานการณ์โรคอ้วนในปัจจุบัน
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ร่วมกับบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด (“โนโว นอร์ดิสค์”) จัดงานเวทีนโยบายรับมือโรคอ้วนระหว่างเดนมาร์ก-ไทยขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยเชิญผู้กำหนดนโยบาย บุคลากรทางการแพทย์ และตัวแทนธุรกิจในวงการสาธารณสุขมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความท้าทายจากอัตราการเป็นโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เสวนาภายใต้หัวข้อ “โรคอ้วน - ความท้าทายด้านสุขภาพและเศรษฐกิจระดับชาติ ร่วมมือกันวันนี้เพื่ออนาคตของทุกคน” ภายในงานประกอบด้วยปาฐกถาจากตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ และการเสวนาบนเวทีจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายภาคต่างมีความคิดเห็นดังต่อไปนี้
นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการรับมือ NCDs ซึ่งเป็นความท้าทายหลักของระบบสาธารณสุขและการพัฒนาประเทศ โดยกำลังบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาที่รุนแรงขึ้น”
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและสภาพัฒน์ฯ ชี้ว่า ”โรคอ้วนกระทบทั้งระบบสาธารณสุขและการพัฒนาเศรษฐกิจ การแก้ไขต้องอาศัยความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างภาครัฐและเอกชน”
นพ.กฤช ลี่ทองอิน ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า “เน้นย้ำว่าสุขภาพคือปัจจัยความมั่นคงและเศรษฐกิจชาติ จึงจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยกับเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ”
ฯพณฯ แดนนี่ อันนัน เอกอัครราชทูตเดนมาร์ก มองว่า “การแก้ปัญหาโรคอ้วนเป็นวาระสากล พร้อมเน้นย้ำความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับเดนมาร์ก โดยมีบริษัทชั้นนำอย่างโนโว นอร์ดิสค์ เป็นแกนหลักในการจัดการโรคอ้วน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ”
ทั้งนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาในการเสวนานำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม., รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย ผอ.รพ.ธรรมศาสตร์ฯ, รศ. นพ. เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย และผู้จัดการทั่วไป นอร์ดิสค์ ฟาร์มา เอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ ได้มีการหารือถึงนโยบายทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นความเร่งด่วนในการออกมาตรการรับมือโรคอ้วนในเขตเมือง และย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือของทางภาครัฐ และเอกชน
สรุปได้ว่าการรับมือวิกฤตโรคอ้วนต้องอาศัยพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้ความรู้อย่างจริงจัง และอาจนำไปสู่การพัฒนากฎหมายที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนในอนาคต
แน่นอนว่าการรับมือกับโรคอ้วนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้ดีต่อสุขภาพจะเป็นเรื่องท้าทายและต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ และที่สำคัญคือการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง ดังคำกล่าวที่ว่า "กินเป็นไม่ป่วย ผู้หญิงสวย ผู้ใหญ่หล่อ เด็กอายุยืน" การตระหนักถึงปัญหาและลงมือเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนเพื่อสุขภาพและอนาคตที่ยั่งยืนของตัวเราเองและประเทศชาติ
ข้อมูล: World Health Organization (2024), รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พศ 2562-2563, Australian Burden of Disease Study, BMJ Global Health 2021
ภาพ : istock