โรคกระดูกและข้อเสื่อม เป็นภาวะที่หลายคนมักเชื่อว่าเกิดขึ้นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเสื่อมของกระดูกและข้อก่อนวัยอันควร

จากสถิติของโรงพยาบาลเอส สไปน์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังพบว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ป่วยเรื่องกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและวัยกลางคน

นอกจากนี้ ยังพบว่าปัญหากระดูกสันหลังเสื่อมในปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่ที่บริเวณหลังส่วนล่างเหมือนเมื่อก่อน แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกระดูกสันหลังส่วนคอและข้อกระดูก ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับพฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพบว่า หลายคนมีพฤติกรรมที่เป็นตัวเร่งให้กระดูกและข้อเสื่อมโดยไม่รู้ตัว ได้แก่

1. นั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่ขยับตัว

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันหลายชั่วโมงโดยไม่ลุกขึ้นขยับตัว ทำให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ กระดูกสันหลังอ่อนแรงลง แรงกดที่หมอนรองกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้น และกระดูกสันหลังเสื่อมเร็วขึ้น ที่สำคัญ หลายคนเผลอนั่งหลังค่อม ไหล่ห่อ หรือโน้มตัวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นท่านั่งที่ทำให้กระดูกสันหลังต้องรับแรงกดมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

...

2. ยกของหนักผิดวิธี

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

การก้มยกของหนักโดยใช้กล้ามเนื้อหลัง แทนที่จะใช้กำลังจากขา เป็นสาเหตุของภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกดทับเส้นประสาทที่พบได้บ่อย วิธีที่ถูกต้องในการยกของคือ ให้ย่อตัวลง ใช้ขางอเข่า แล้วยกของขึ้นโดยให้หลังตรง วิธีนี้จะช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลังได้อย่างมาก

3. พฤติกรรมที่มีแรงกระแทกสะสมในชีวิตประจำวัน

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

กิจกรรมบางอย่างอาจทำให้กระดูกสันหลังได้รับแรงกระแทกโดยไม่รู้ตัว เช่น การนั่งรถที่โช้คอัพไม่ดี หรือการนั่งเรือเร็วที่มีแรงกระแทกสูง สิ่งเหล่านี้ทำให้แรงสะสมที่ข้อต่อเพิ่มขึ้น และเร่งให้เกิดภาวะกระดูกเสื่อมได้เร็วขึ้น

4. การนั่งผิดท่า

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือคุกเข่า ทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงกดมากกว่าปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมได้เร็วขึ้น

5. การใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไป

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

"Text Neck Syndrome" หรือภาวะกระดูกคอเสื่อมจากการก้มมองหน้าจอเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ก้มมองจอมือถือ กระดูกคอจะต้องรับน้ำหนักศีรษะมากกว่าปกติหลายเท่า หากทำบ่อย ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคออ่อนล้า และนำไปสู่ภาวะกระดูกเสื่อมเร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม โรคกระดูกสันหลังสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน เช่น ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักตัว รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูก และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ แต่หากปรับพฤติกรรมแล้วยังมีอาการปวดเรื้อรัง การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ โดยมี 2 แบบตามอาการ

1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ประกอบด้วยการทำกายภาพบำบัด เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเสริมความแข็งแรงของหลัง การใช้ยาลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวด

2. การรักษาด้วยการผ่าตัด

เช่น การจี้เลเซอร์ รักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เทคนิค PSCD รักษาอาการปวดคอร้าวลงแขนที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ และเทคนิค PSLD รักษาโรคหมอนรองกระดูกส่วนหลังตีบแคบหรือปลิ้นทับเส้นประสาท ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดน้อย เจ็บปวดหลังการผ่าตัดลดลง และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น