“ไรฝุ่น” เป็นแมงขนาดเล็กมี 8 ขา ขนาดเล็ก 0.3 มิลลิเมตร มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้ยาก มีวงจรชีวิตประมาณ 65-100 วัน และวางไข่ได้ทีละปริมาณมาก ถึงครั้งละ 50-80 ฟอง มีแหล่งที่อยู่อาศัยอยู่ตามบริเวณที่ร้อนชื้น หรืออากาศแบบประเทศไทย เนื่องจากเป็นแมงที่กินสะเก็ดผิวหนังของมนุษย์ จึงมักอาศัยอยู่บริเวณบ้าน โดยเฉพาะบริเวณห้องนอน มักอยู่ตามที่อุ่นและนุ่ม ได้แก่ ผ้าปูที่นอน ตุ๊กตา พรม หรือ โซฟาผ้า สายพันธุ์ที่พบบ่อย และเป็นตัวสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ ได้แก่ Dermatophagoides pteronyssinusและ Dermatophagoides farinae

ไรฝุ่นเป็นสาเหตุหลักของการกระตุ้นภาวะโรคภูมิแพ้จมูกและโรคหืด จากการศึกษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูกในประเทศไทย เพื่อหาสารก่อภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง พบว่า มีปฏิกิริยาต่อไรฝุ่นประมาณ 55-65% 

สารจากไรฝุ่นที่เป็นตัวกระตุ้นหลัก คือ อุจจาระของไรฝุ่น มีขนาดเฉลี่ย 10-40 ไมโครเมตร เนื่องจากไรฝุ่นมักอยู่บริเวณที่นอนเป็นหลัก ผู้ป่วยจึงมักมีอาการกำเริบ เมื่อศีรษะหรือจมูกอยู่ใกล้กับเครื่องนอนเวลานอน เพราะสามารถสูดดมได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม อนุภาคของสารก่อภูมิแพ้สามารถฟุ้งกระจายเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อมีการรบกวน เช่น การกวาดบ้าน สะบัดผ้าปูที่นอน 

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคภูมิแพ้จมูก โดยใช้อาการทางจมูก ที่มีอาการทั้ง 2 ข้าง และมีอาการเกือบทุกวัน (มากกว่าเท่า 1 ชั่วโมง/วัน เป็นระยะเวลามากกว่าเท่ากับ 1 ปี) โดยอาการทางจมูกใช้มากกว่าเท่ากับ 2 อาการ ดังต่อไปนี้ ได้แก่ อาการคันจมูก จาม คัดจมูก และน้ำมูกไหล และอาจจะมีโรคร่วมอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย เช่น โรคหืด โรคภูมิแพ้ดวงตา โรคผื่นภูมิแพ้อักเสบผิวหนัง ภาวะแพ้อาหาร  

...

ส่วนการวินิจฉัยภูมิแพ้ต่อไรฝุ่น ใช้ประวัติอาการทางจมูกที่แย่ลงเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ร่วมกับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ การตรวจการสะกิดผิวหนัง (Skin prick test) หรือการตรวจเลือดอิมมูโนโกลบูลินอีที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ (serum specific IgE)

การจัดการไรฝุ่น มีดังนี้ 

1. จัดการบ้านให้สะอาด ไม่ให้รก หรือมีที่กักเก็บฝุ่น โดยควรทำความสะอาดด้วยการเช็ดและถูทุกวัน ดูดฝุ่นด้วยเครื่องดูดฝุ่นที่มี HEPA (high efficiency particulate air) filter อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

2. ไม่ควรปูพรม เลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้า

3. ใช้เครื่องนอนแบบกันไรฝุ่น ซึ่งเป็นผ้าแบบทอแน่น หรือถ้าไม่มีสามารถใช้แผ่นพลาสติกรองได้

4. ทำความสะอาดเครื่องนอน รวมถึงสิ่งที่อยู่ในห้องนอน เช่นพรม ผ้าม่าน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยใช้อุณหภูมิน้ำอย่างน้อย 50-60 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 20 นาที

5. ใช้เครื่องฟอกอากาศชนิด HEPA filter

6. ใช้เครื่องลดความชื้น (dehumidifier) ให้มีความชื้นสัมพัทธ์ น้อยกว่า 55%

7. ไม่แนะนำให้ใช้ยาหรือสารเคมีในการกำจัดไรฝุ่น

ทั้งนี้ แนะนำให้ใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน จะมีประสิทธิภาพในการกำจัดไรฝุ่นได้ดีที่สุด

หากทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจต้องรักษาด้วยยา กรณีที่อาการเป็นไม่มาก ไม่รบกวนการทำงาน ชีวิตประจำวัน และคุณภาพชีวิต หรือเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 4 สัปดาห์ สามารถใช้ยาต้านฮิสทามีนรุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นชนิดไม่ง่วง (second-generation or non-sedating antihistamine) ในการรักษาได้ แต่ถ้าหากอาการเป็นมากจนรบกวน มีอาการเป็นระยะเวลามากกว่า 4 สัปดาห์ หรือรักษาด้วยยาต้านฮาสตามีนแล้วไม่ได้ผล แนะนำใช้ยาสเตียรอย์พ่นจมูก ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด เพราะเป็นการรักษา เพื่อลดอักเสบของจมูก จึงส่งผลให้สามารถลดอาการทางจมูกได้ดี และยังช่วยลดอาการอวัยวะข้างเคียง เช่น ตา หู ได้อีกด้วย

ยาอื่น ๆ ที่ใช้เสริม ได้แก่ ยาหดหลอดเลือดชนิดพ่น/หยอดหรือชนิดกิน ยา leukotriene receptor antagonists (LTRAs)

@@@@@@@@

แหล่งข้อมูล
อาจารย์ แพทย์หญิงอภิญญา จึงเจริญพาณิชย์ สาขาวิชาโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" เพิ่มเติม