เครื่องดื่มสำหรับคนรักสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเวลานี้คือ “มัทฉะ” ซึ่งเป็นชาเขียวที่มีขั้นตอนการปลูกและผลิตที่ใส่ใจในรายละเอียดกว่าชาเขียวทั่วไป เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีรสชาติและคุณสมบัติพิเศษที่ดีต่อร่างกายหลายด้าน เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและหัวใจ อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย มีวิตามินหลายชนิดที่ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ

ด้วยคุณสมบัติที่ดีต่อร่างกายมากมายจึงทำให้หลายคนหันมาดื่มมัทฉะกันมากขึ้น และเชื่อกันว่าการดื่มมัทฉะที่ถูกต้องคือดื่มแบบ “เพียวมัทฉะ” (Pure Matcha) ที่นำผงมัทฉะมาชงกับน้ำร้อนเท่านั้น ร่างกายจึงจะได้รับประโยชน์สูงที่สุด

ผศ.ดร.ณัฐธิดา โชติช่วง อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาให้คำตอบที่หลายคนอาจสงสัยว่าดื่มมัทฉะแล้วดีต่อร่างกายจริงไหม และควรมีวิธีดื่มอย่างไรที่ทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงที่สุด

“สารที่ให้ประโยชน์ในมัทฉะที่เด่นๆ ก็คือ EGCG ซึ่งอยู่ในกลุ่มคาเทชินที่ในงานวิจัยบอกว่ามีประโยชน์ในเรื่องของช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจต่างๆ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็ง แต่งานวิจัยเหล่านี้ยังเป็นงานวิจัยที่อยู่ในระดับหนูทดลองหรือในระดับเซลล์ ยังไม่ได้มีงานวิจัยในมนุษย์ที่เป็นระยะยาวหรือเป็นข้อสรุปออกมาได้ เพราะว่าการเกิดโรคมะเร็งมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในส่วนที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งก็คือสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่ง EGCG หรือคาเทชินก็เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระด้วยเช่นกัน”

...

ผศ.ดร.ณัฐธิดา โชติช่วง  อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี)
ผศ.ดร.ณัฐธิดา โชติช่วง อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี)

เมื่อถามว่าวิธีการดื่มมัทฉะให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดนั้นควรเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมามีการถกเถียงว่าควรดื่มแบบเพียวไม่ผสมอะไรเลย บ้างก็ว่าไม่ควรดื่มคู่กับนมหรือมะนาว เพราะทำให้มัทฉะสูญเสียคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ไป ดังนั้นเราควรดื่มอย่างไรให้ถูกวิธี

ผศ.ดร.ณัฐธิดา ได้อธิบายว่าสารคาเทชินหรือ EGCG ที่มีในมัทฉะไม่ควรจะชงด้วยน้ำร้อนเกินไปเพราะอาจจะทำให้สารมีการเปลี่ยนรูปไป โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมในการชงมัทฉะไม่ควรเกิน 85 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ร่างกายเรายังดูดซึม EGCG ได้ค่อนข้างน้อย และสูญเสียคุณสมบัติได้ง่าย ซึ่งมีงานวิจัยหลายชิ้นบอกว่าควรเติมวิตามินซีหรือกรดลงไปเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

“การดื่มมัทฉะที่ให้ประโยชน์ ก็คือควรมีการเติมพวกวิตามินซีหรือกรดผลไม้ ที่ช่วยทำให้สาร EGCG มีความเสถียรขึ้นและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้มากขึ้น ด้วยการนำมัทฉะที่ชงได้ผสมกับน้ำส้มหรือน้ำมะนาว แต่เนื่องจากวิตามินซีที่มีในน้ำผลไม้เหล่านี้ก็สลายง่ายในความร้อน ดังนั้นหลังจากชงมัทฉะด้วยน้ำที่อุณหภูมิ 85 องศา ควรรีบใส่น้ำแข็งเพื่อให้มัทฉะเย็นลงแล้วค่อยเติมน้ำผลไม้หรือน้ำมะนาวลงไป เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถนำสารคาเทชิน หรือ EGCG ไปใช้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถดื่มมัทฉะผสมกับนมได้ เพราะมีงานวิจัยบอกว่าโปรตีนที่อยู่ในนมช่วยให้สาร EGCG ในมัทฉะมีความเสถียรยิ่งขึ้น”

ดังนั้น การดื่มมัทฉะที่ผสมนมหรือน้ำมะนาวจะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ร่างกายสามารถดูดซึมประโยชน์ต่างๆ จากสาร EGCG ได้ดีขึ้นกว่าการดื่มมัทฉะแบบเพียวๆ นั่นเอง และแนะนำว่าควรดื่มมัทฉะตอนท้องว่างจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ณัฐธิดา ยังเสริมว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับการดื่มมัทฉะ โดยเฉพาะคนที่มีภาวะขาดธาตุเหล็กหรือเป็นโรคโลหิตจาง เพราะมัทฉะจะไปขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็กในร่างกาย

“ผู้ที่มีภาวะเหล่านี้ไม่ควรดื่มมัทฉะบ่อยเกินไป และไม่ควรดื่มคู่กับอาหารที่มีธาตุเหล็ก ซึ่งมักจะอยู่ในอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ประเภทเนื้อแดงต่างๆ และไม่ควรดื่มพร้อมกับการกินวิตามินเสริมธาตุเหล็ก เพราะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ยาก”

ทีนี้เราก็รู้กันแล้วว่าควรมีวิธีชงและดื่มมัทฉะอย่างไรให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากที่สุด ว่าแล้วก็หยิบผงมัทฉะ เตรียมน้ำร้อน น้ำมะนาว หรือนม มาชงดื่มเองกันได้เลย

ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี