หนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับซึ่งเป็นมะเร็งที่คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ก็คือโรคไวรัสตับอักเสบ ที่หลายคนมักจะมองข้ามและคิดว่าไกลตัว แต่ความจริงแล้วอันตรายและใกล้ตัวกว่าที่คิด แม้จะดูแลสุขภาพดีแค่ไหนก็เป็นได้ ผ่านการติดเชื้อจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเราเอง
ไวรัสตับอักเสบคืออะไร
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่าไวรัสตับอักเสบมี 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสที่เป็นปัญหาสำคัญในบ้านเราได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีและซี เนื่องจากไวรัสทั้งสองชนิดทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมีมะเร็งตับตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต
ในประเทศไทยคาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีประมาณร้อยละ 5 ของประชากรหรือประมาณ 3 ล้านคน ส่วนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมีประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากรหรือประมาณ 1 ล้านคน
ไวรัสตับอักเสบบี
ในบ้านเราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก พบว่าช่วง 10-15 ปีแรกจะมีปริมาณไวรัสสูงมาก แต่ตับยังไม่อักเสบ เพราะเม็ดเลือดขาวยังไม่ทราบว่ามีไวรัสอยู่ในร่างกาย จนเข้าสู่วัยรุ่นเมื่อเม็ดเลือดขาวเริ่มตรวจพบและทำลายเซลล์ตับที่มีไวรัสอยู่ จึงทำให้มีไวรัสตับอักเสบเกิดขึ้น ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการของภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่
- อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้
- เจ็บใต้ชายโครงขวา
- มีไข้ต่ำ
- ตาเหลือง
- ตัวเหลือง
- ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม

...
ในผู้ที่มีภูมิต้านทานแข็งแรงพอ จะสามารถควบคุมไวรัสได้ บางรายสามารถกำจัดไวรัสได้หมด การอักเสบก็จะลดลง อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นจนเป็นปกติ ในทางกลับกันในผู้ที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรงพอ ไวรัสที่เหลืออยู่มากก็จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและมีพังผืดเกิดขึ้นมาแทนที่ ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ นานวันเข้าก็จะมีภาวะตับแข็งและมะเร็งตับเกิดขึ้น ซึ่งพบประมาณร้อยละ 15-40 ของผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 100 เท่า และจะมีความเสี่ยงมากขึ้นอีกหากมีปัจจัยส่งเสริมอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่
- เพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิง
- ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ พบว่าผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับมีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ
- มีโรคตับอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การดื่มสุรา การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี จะทำให้ตับมีการอักเสบมากขึ้น
- การได้รับสารก่อมะเร็งโดยเฉพาะสารอะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) ซึ่งสร้างจากเชื้อราที่มักพบในธัญพืชที่เก็บไว้นานๆ หรือในที่ชื้น โดยเฉพาะถั่วลิสง ถั่วป่น พริกป่น สารอะฟลาท็อกซินนี้ทนความร้อนได้ดีไม่ถูกทำลายด้วยการหุงต้ม
ไวรัสตับอักเสบซี
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมักไม่ทำให้เกิดอาการเฉียบพลัน มากกว่าร้อยละ 85 ของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสนี้จะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ หากไม่ได้ไปพบแพทย์หรือตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับก็จะไม่ทราบว่าตนเองมีตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งร้อยละ 40-50 ของผู้ป่วยเหล่านี้จะเกิดภาวะตับแข็งภายใน 30-50 ปี และนำไปสู่มะเร็งตับในที่สุด
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่า พบว่าผู้ที่ดื่มสุราหรือมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือเอดส์ร่วมด้วยจะเกิดตับแข็งในเวลาอันรวดเร็ว
วิธีป้องกันการติดไวรัสตับอักเสบบีและซี
ไวรัสตับอักเสบบีและซีสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและหลายวิธี แต่เราสามารถป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวได้

1. เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
ได้แก่ การเจาะ สักผิวหนัง การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น การใช้ของมีคมร่วมกับบุคคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ การมีคู่นอนหลายคนหรือมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุม เมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
2. หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ควรพบแพทย์ เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ หากเชื้อไวรัสมีปริมาณมากควรได้รับยากินต้านไวรัสช่วง 3 เดือนก่อนคลอด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก และทารกควรได้รับการฉีดวัคซีนและอิมมูโนโกลบูลิน (hepatitis B immunoglobulin, HBIG) เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอด
...
3. การฉีดวัคซีน
เรายังสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้โดยการฉีดวัคซีนซึ่งมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็ม สามารถสร้างภูมิต้านทานซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต ส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เหมาะกับใคร
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่
- ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี
- ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
- บุคลากรทางการแพทย์
- สามีหรือภรรยาของผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต
- ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
- ผู้ป่วยที่ต้องได้รับยากดภูมิต้านทาน
เนื่องจากในปัจจุบันวัคซีนมีราคาถูกลงมากและมีความปลอดภัยสูงจึงควรฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและยังไม่มีภูมิต้านทานทุกคน

...
ข้อแนะนำการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีแนะนำให้ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 1 และ 6 ตามลำดับ วัคซีนเข็มที่สองไม่ควรฉีดก่อนหนึ่งเดือน หากเลยกำหนดหนึ่งเดือนให้ฉีดเข็มที่สองทันทีที่นึกได้ และนับต่อไปอีกห้าเดือนสำหรับเข็มที่สาม
การฉีดให้ฉีดเข้ากล้ามที่ต้นแขนเท่านั้น ยกเว้นในทารกควรฉีดเข้ากล้ามที่หน้าขาเพราะแขนมีขนาดเล็กมาก ขนาดที่ฉีดหากอายุน้อยกว่า 18 ปีให้ใช้ขนาดเด็กและมากกว่า 18 ปี ให้ใช้ขนาดผู้ใหญ่
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีในปัจจุบันผลิตโดยใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมทั้งสิ้น ไม่มีวัคซีนที่ผลิตจากน้ำเลือดอีกแล้ว การฉีดวัคซีนทั้งสามเข็มจะใช้ของบริษัทใดสามารถใช้ทดแทนกันได้หมด
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ
การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ 1-2 วัน เจ็บหรือมีผื่นแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน
เมื่อฉีดวัคซีนครบสามเข็ม โดยทั่วไปจะมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นร้อยละ 95 จึงไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดซ้ำ เพื่อดูว่ามีภูมิต้านทานหรือไม่ ยกเว้นในบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงควรตรวจดูระดับของภูมิต้านทาน 1-2 เดือน หลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่สาม