เมื่อเอ่ยถึงความรัก หลายคนอาจนึกถึงความรักในเชิงโรแมนติกระหว่างคู่รักหรือสามีภรรยา แต่ความจริงแล้วความรักนั้นเกิดได้กับทุกคน ทุกรูปแบบ เมื่อเกิดความรักในทางวิทยาศาสตร์นั้นสมองจะหลั่งสารเคมีต่างๆ ออกมา ซึ่งมีผลต่อร่างกายและจิตใจของเราแตกต่างกันไป เนื่องในเทศกาลวาเลนไทน์นี้ เรามาทำความรู้จักความรักในมุมมองทางจิตวิทยา เพื่อเข้าใจความรักที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
พญ. เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ หรือคุณหมอเจ จิตแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ โรงพยาบาลวิมุต เผยกับทีมไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์ว่า ในเวลาที่คนเรามีความรัก สมองจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เราเกิดความสุขออกมา ได้แก่ โดปามีน (Dopamine) ออกซิโตซิน (Oxytocin) เซโรโทนิน (Serotonin) และวาโสเปรสซิน (Vasopressin) ออกมา
...
โดยในช่วงเริ่มต้นที่พบรักจะมีความรู้สึกตื่นเต้น ใจฟู เกิดความหลงใหล สมองจะหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) ออกมา เป็นสารที่ทำให้เรากระปรี้กระเปร่า และเป็นสารตัวเดียวกันกับที่เวลาเราเสพกัญชาหรือโคเคน ทำให้สมองเกิดการเสพติด
“พอเราปิ๊งคนนี้ เราก็จะอยากคุยกับคนนี้บ่อยๆ คอยเช็กมือถือว่าเขาส่งข้อความมาหาเราหรือยัง ตื่นเต้นกับการรอคอยการนัดเดท ซึ่งจะเกิดในช่วง Honeymoon Period หรือที่เรียกกันว่าช่วงโปรโมชั่น ที่จะมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือน จากนั้นจะค่อยๆ ลดลง”
นอกจากโดปามีนแล้ว ในช่วงที่เรากำลังตกหลุมรัก ยังมีฮอร์โมนอีพิเนฟริน (Epinephrine) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ อะดรีนาลีน ซึ่งกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกตื่นเต้น เขินอายเวลาเจอคนที่ชอบ รวมถึงฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) จะส่งผลต่อการแสดงออก เมื่อสมองหลั่งสารชนิดนี้ออกมาเราจะเกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยที่ไม่รู้ตัว เช่น การเผลอยิ้ม เป็นต้น
เมื่อหมดช่วงโปรโมชั่นจะเข้าสู่ช่วงเริ่มศึกษาดูใจที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าความถูกใจ ในระยะนี้จะมีฮอร์โมนแห่งความรักที่เรียกว่า ออกซิโตซิน (Oxytocin) ออกมา ที่ทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน เกิดการเรียนรู้ การยอมรับกันและกัน ซึ่งฮอร์โมนนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดกับความรักในเชิงโรแมนติกเท่านั้น แต่เกิดได้กับความรักระหว่างแม่และลูก พ่อกับลูก พี่น้อง หรือกับสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติมจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เผยว่าฮอร์โมน ออกซิโตซิน (Oxytocin) มักจะหลั่งออกมาระหว่างการสัมผัสร่างกายกับผู้อื่น และการรับรู้ถึงความรัก ความเมตตากรุณาหรือความไว้วางใจ ที่ทำให้รู้สึกสบายใจ ปลอดภัยและอบอุ่น
...
ฮอร์โมนนี้เป็นปัจจัยสำคัญของรูปแบบความผูกพันทางสังคมของมนุษย์ ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาได้ดีขึ้นและสามารถต่อสู้กับความหวาดกลัวและสภาวะเครียด ตลอดจนเพิ่มความโอบอ้อมอารีและความเสียสละ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับ โดยสมองจะหลั่งออกซิโตซินออกมาต้านความเครียดที่เป็นผลจากฮอร์โมน “คอร์ติซอล”
เราสามารถเพิ่มระดับออกซิโตซินได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในเชิงบวก เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว การแบ่งปันอาหาร การให้ของขวัญ หรือการตั้งใจฟังใครสักคนอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น ออกซิโตซินยังมีส่วนช่วยบรรเทาอาการของโรควิตกกังวลและพฤติกรรมการกินอาหารผิดปกติ และยังมีงานวิจัยที่แสดงว่าออกซิโตซินสามารถช่วยในการรักษาบาดแผลทางร่างกายให้หายเร็วขึ้นด้วย
ในช่วงที่ศึกษาดูใจกันนี้สมองยังหลั่งฮอร์โมน วาโสเปรสซิน (Vasopressin) ที่ทำให้คู่รักมีความรู้สึกผูกพัน หวงแหน อยากดูแล ปกป้องคนรักของตน เกิดความรู้สึกอยากใช้ชีวิตร่วมกัน
...
รักตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด คนโสดก็มีฮอร์โมนแห่งความรักได้
อย่างไรก็ตาม คนโสดเองก็สามารถมีฮอร์โมนเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะฮอร์โมน ออกซิโตซิน (Oxytocin) ที่ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคู่รักเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้กับคนในครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนสนิท หรือแม้แต่กับสัตว์เลี้ยงที่เรารักก็ตาม ดังนั้นความรักจึงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในเชิงโรแมนติกอย่างเดียวเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้กับคนรอบตัวรวมทั้งการรักตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
“เดี๋ยวนี้มีเทรนด์ที่เราเป็น Self Partnered คือเรารักตัวเอง เพราะคู่ที่ดีเกิดจากคนที่มีความสุข คนที่รักตัวเองเป็น 2 คนมาอยู่ด้วยกัน มารักกัน ไม่ได้เกิดจากคนที่พร่อง 2 คนมาอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะโสดหรือเราจะไม่โสด เราสามารถมีความสุขได้” หมอเจ กล่าว
การรักตัวเองคือการทำในสิ่งที่ตนเองมีความสุข ไม่ว่าจะเป็น การกินอาหารที่ชอบ การไปออกกำลังกาย การได้ไปเที่ยวในที่ที่เราชอบ ทั้งหมดนี้คือการรักตัวเอง ที่สามารถส่งต่อให้คนรอบข้างสัมผัสสิ่งนี้ได้
...
ดังนั้นการรักตัวเองคือการเติมพลังให้กับจิตใจ คล้ายกับสายการบินที่แนะนำให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเราไม่เติมพลังให้ตัวเองก่อน เราจะไม่มีแรงไปแบ่งปันความรักให้ใครได้เลย หากความรักเป็นน้ำในแก้ว เราต้องมีน้ำเต็มแก้วของตัวเองก่อนที่จะสามารถรินน้ำให้กับผู้อื่นได้
โรงพยาบาล BMHH ได้แนะนำวิธีสร้าง Healing Mindset เพื่อรักตัวเองไว้ดังนี้
- ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง : เปิดใจรับทุกความรู้สึกที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าความสุขหรือความทุกข์ เพราะทุกความรู้สึกมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
- เปลี่ยนมุมมองต่อความผิดพลาด : ทุกความผิดพลาดคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต การผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราล้มเหลว แต่เป็นขั้นตอนหนึ่งในการพัฒนา
- สร้างขอบเขตที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ : การรู้จัก "ไม่" เมื่อจำเป็นไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นการปกป้องพื้นที่ส่วนตัวที่ทำให้เราเติบโตอย่างมั่นคง
- ฝึกดูแลตัวเอง (Self-Care) : ให้เวลาแก่ตัวเองในการพักผ่อนและดูแลสุขภาพ อย่าทำอะไรที่เกินกว่าร่างกายหรือจิตใจจะรับไหว หาเวลาทำสิ่งที่ทำให้มีความสุข
- พัฒนา Growth Mindset : มองความท้าทายเป็นโอกาสในการเติบโต และเชื่อมั่นว่าเราสามารถพัฒนาตัวเองได้จากทุกประสบการณ์
มีการศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า คนที่มี Healing Mindset และรักตัวเองอย่างสมดุลมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าน้อยลงถึง 45% และมีความพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้น 60% นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
การรักตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชีวิต เมื่อเรารักตัวเอง เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความสุขกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริง
ภาพ : ศรันย์ พงษ์สวัสดิ์