“โรคภูมิแพ้จมูก” คือ ภาวะอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก ทำให้มีอาการคันจมูก คัดจมูก จามและน้ำมูกไหล นอกจากอาการทางจมูกแล้ว ยังส่งผลให้มีอาการร่วมอื่น ๆ ด้วย เช่น คันตา ตาแดง น้ำตาไหล คันในคอ คันในหู หูอื้อหรือไอ โดยสารก่อภูมิแพ้ในอากาศเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ทำให้อาการแย่ลง สารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไรฝุ่น แมลงสาบและสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว สารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ ที่พบได้รองลงมา ได้แก่ หญ้า ละอองเกสรและเชื้อรา

อุบัติการณ์ของโรคพบได้ประมาณร้อยละ 50 ของประชากร จากการศึกษาในกลุ่มประชากรอายุ 6-14 ปี แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ได้สังเกต หรือคิดว่าเป็นโรค เพราะอาการของโรคมักเป็นมาระยะเวลานาน ทำให้เกิดอาการคุ้นชินได้ และสามารถบรรเทาอาการด้วยการรักษาเบื้องต้นจากการซื้อยาแก้แพ้รับประทานด้วยตนเอง ถึงแม้อาการของโรคมักไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต แต่ก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพจิต นอกจากโรคภูมิแพ้จมูกเองแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับโรคร่วม หรือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายกว่าได้ เช่น โรคหืด ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ทางเดินหายใจส่วนล่างอักเสบ ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ ดังนั้นการสังเกตอาการตนเอง รับการตรวจและเข้ารับการรักษา จึงมีความสำคัญ

ปัจจัยเสี่ยงของโรค มีดังนี้

• เพศหญิง

• มลพิษ และฝุ่นละออกในทางอากาศ (particulate matters, PM)

• ทารกที่เกิดจากมารดาสูบบุหรี่ หรือสัมผัสกับควันบุหรี่ขณะตั้งครรภ์

• ทารกที่คลอดด้วยการผ่าคลอดทางหน้าท้อง

• พันธุกรรมในครอบครัว : มีประวัติญาติสายตรงเป็นภูมิแพ้

• ภาวะพร่องหรือขาดวิตามิ ดี (รวมถึงทารกที่เกิดจากมารดาที่ขาดวิตามิน และตัวผู้ป่วยเอง)

...

• สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ปริมาณมาก

• การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ตั้งแต่อายุน้อย

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรค โดยใช้อาการทางจมูก ที่มีอาการทั้ง 2 ข้าง และมีอาการเกือบทุกวัน (มากกว่าเท่า 1 ชั่วโมง/วัน เป็นระยะเวลามากกว่าเท่ากับ 1 ปี) โดยอาการทางจมูกใช้มากกว่าเท่ากับ 2 อาการ ดังต่อไปนี้ ได้แก่ อาการคันจมูก จาม คัดจมูก และน้ำมูกไหล และอาจจะมีโรคร่วมอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย เช่น โรคหืด โรคภูมิแพ้ดวงตา โรคผื่นภูมิแพ้อักเสบผิวหนัง ภาวะแพ้อาหาร

การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ที่ล่องลอยในอากาศ (aeroallergen)

การวินิจฉัยสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ใช้ประวัติอาการทางจมูกที่แย่ลงเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ร่วมกับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ การตรวจการสะกิดผิวหนัง (Skin prick test) และการตรวจเลือดอิมมูโนโกลบูลินอีที่จำเพราะต่อสารก่อภูมิแพ้ (serum specific IgE)

การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง สามารถทำได้โดยหยดสารก่อภูมิแพ้บริเวณหน้าแขน หรือหลังในเด็กเล็ก แล้วใช้เข็มสะกิดเล็กน้อย รออ่านผล 15-30 นาที หากมีอาการนูน แดง คัน จะบ่งบอกว่าร่างกายมีภูมิแพ้ต่อสารนั้น

การรักษา

การรักษาหลักของโรคภูมิแพ้จมูก คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ ซึ่งสามารถทำได้โดยลดการสัมผัส ปรับสภาพแลดล้อมหรือบริเวณที่อยู่อาศัย เพื่อลดสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ การรักษาอีกอย่างที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ยา และมีประสิทธิภาพ คือ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพราะเป็นการล้างสารก่อภูมิแพ้ที่สูดดมเข้าไป ล้างน้ำมูกหรือเมือกในจมูก และยังเป็นการส่งเสริมการไหลเวียนของสารเยื่อเมือกในโพรงจมูก (mucociliary clearance) นอกจากนี้ การล้างจมูกยังช่วยล้างสารมลพิษอื่น ๆ ที่ตกค้างบริเวณจมูก เช่น PM 2.5 และ PM 10 ได้อีกด้วย

สำหรับการรักษาด้วยยา ถ้าหากอาการเป็นไม่มาก ไม่รบกวนการทำงาน ชีวิตประจำวัน และคุณภาพชีวิต หรือเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 4 สัปดาห์ สามารถใช้ยาต้านฮิสทามีนรุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นชนิดไม่ง่วง (second-generation or non-sedating antihistamine) ในการรักษาได้ แต่ถ้าหากอาการเป็นมากจนรบกวน มีอาการเป็นระยะเวลามากกว่า 4 สัปดาห์ หรือรักษาด้วยยาต้านฮาสตามีนแล้วไม่ได้ผล แนะนำใช้ยาสเตียรอย์พ่นจมูก ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด เพราะเป็นการรักษา เพื่อลดอักเสบของจมูก จึงส่งผลให้สามารถลดอาการทางจมูกได้ดี และยังช่วยลดอาการอวัยวะข้างเคียง เช่น ตา หู ได้อีกด้วย

ยาอื่น ๆ ที่ใช้เสริม ได้แก่ ยาหดหลอดเลือดชนิดพ่น/หยอดหรือชนิดกิน ยา leukotriene receptor antagonists (LTRAs)

กรณีที่ปรับสภาวะแวดล้อมและรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือไม่สามารถลดยาได้ และมีการตรวจพบสารก่อภูมิแพ้ชัดเจน แนะนำภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารก่อภูมิแพ้ (Allergen immunotherapy) ซึ่งเป็นการให้ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุ โดยเริ่มจากปริมาณน้อย และค่อย ๆ ปรับเพิ่มปริมาณขึ้น จนถึงขนาดที่ใช้ในการรักษา และให้ต่อเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 3-5 ปี ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหรือปฏิกิริยาภูมิแพ้ลดลง เมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้นในสภาวะแวดล้อม และอาการของโรคภูมิแพ้ที่ดีขึ้นนี้จะยังคงอยู่ แม้หยุดการให้การรักษาไปแล้ว โดยวิธีการให้ภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ( subcutaneous immunotherapy, SCIT) และการอมใต้ลิ้น ( sublingual immunotherapy, SLIT)

โรคภูมิแพ้จมูกเป็นโรคที่พบได้บ่อย และโรคนี้ยังไม่ใช่โรคของทางจมูกเท่านั้น เพราะสามารถพบโรคร่วมอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นการให้ความสำคัญเกี่ยวกับตัวโรค การรักษา ซึ่งสามารถทำได้โดยง่าย และร่วมกับการปรับการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการจัดการกับสารก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะไรฝุ่น และแมลงสาบ ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้หลัก จึงมีความสำคัญ นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตอีกด้วย

...

แหล่งข้อมูล
อาจารย์ แพทย์หญิงอภิญญา จึงเจริญพาณิชย์ สาขาวิชาโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกอ่านคอลัมน์ “ศุกร์สุขภาพ” เพิ่มเติม