• การเดินทางโดยเครื่องบินมีความสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง แต่ระหว่างโดยสารเครื่องบินอาจเกิดผลกระทบเล็กน้อย เช่น รู้สึกไม่สบายหู เจ็ตแล็ก และภาวะขาดน้ำ หรืออาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง หรือทำให้การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึกในบางคนได้
  • อากาศภายในห้องโดยสารของเครื่องบินมักแห้งและมีความดันต่ำ ทำให้น้ำจากผิวหนังและระหว่างการหายใจระเหยเร็วขึ้น หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำมากเกินไปเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอ แม้ไม่รู้สึกหิวน้ำก็ตาม
  • โรคที่ห้ามขึ้นเครื่องบิน เช่น ผู้ป่วยโรคปอดบวม โรควัณโรคปอด ที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ , หญิงที่มีอายุครรภ์เกิน 36 สัปดาห์ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง และพกยาประจำตัวให้เกินจากจำนวนที่ต้องใช้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน

จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการบิน แสดงให้เห็นว่าการโดยสารเครื่องบินมีความปลอดภัยกว่าการขับรถหลายเท่า ในปี 2023 ไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียวจากเที่ยวบินของสายการบินพาณิชย์จำนวน 37 ล้านเที่ยวบิน แต่ความกังวลกลับอยู่ภายในห้องโดยสารมากกว่า เนื่องจากภาวะภายในห้องโดยสารที่มีระดับความดัน อุณหภูมิ ออกซิเจนที่ผันผวน และระดับความชื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ นอกจากนี้การอยู่ภายในห้องที่ระบบอากาศปิดกับผู้คนอีกนับร้อย และต้องเดินทางผ่านเขตเวลาในการบินระยะไกล ต่างมีผลกระทบต่อความเจ็บป่วยได้เช่นกัน

ในบางคนระหว่างโดยสารเครื่องบินอาจเกิดผลกระทบกับร่างกายเล็กน้อย เช่น รู้สึกไม่สบายหู เจ็ตแล็ก และภาวะขาดน้ำ แต่บางคนอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง หรือทำให้การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep vein thrombosis: DVT)   แม้อาการจะไม่รุนแรงในเบื้องต้น แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รักษา อาจทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ปอดและเสียชีวิตได้

...

การเตรียมตัวขึ้นเครื่องบิน

การเตรียมตัวสำหรับการเดินทางด้วยเครื่องบิน อาจขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเดินทางและภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล ดังนี้

  • ก่อนเดินทางควรพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ก่อนเดินทางควรหลีกเลี่ยงอาหารมื้อใหญ่ เพื่อป้องกันท้องไส้ปั่นป่วน
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง และพกยาประจำตัวให้เกินจากจำนวนที่ต้องใช้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน
  • ระหว่างเดินทางให้สวมเสื้อผ้าที่หลวมและใส่สบาย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ด้วยการจิบน้ำบ่อยๆ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือยานอนหลับ
  • เก็บสัมภาระไว้เหนือศีรษะ เพื่อให้มีพื้นที่บริเวณขามากขึ้น
  • ขณะเดินทางหากเป็นการเดินทางระยะไกล ให้ลุกขึ้นเดิน ยืดเส้นยืดสาย
  • เปลี่ยนกิจวัตรการนอนก่อนบินเพื่อลดความเสี่ยงของเจ็ตแล็ก
  • คาดเข็มขัดตลอดเวลา ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ และตั้งใจฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่บนเครื่องบิน

โรคที่ควรระวังและอาการของโรคที่ห้ามขึ้นเครื่องบิน

ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรศึกษาข้อจำกัดการโดยสารของแต่ละสายการบิน ก่อนตัดสินใจใช้บริการ เนื่องจากสายการบินแต่ละแห่งมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพควรพบแพทย์ก่อนเดินทางเพื่อลดความเสี่ยง และควรมียาประจำตัวพกพาในกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง สำหรับบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบิน มีดังนี้

  • เด็กแรกเกิดอายุต่ำกว่า 7 วัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความกดดันอากาศในเครื่องบิน
  • ทารกคลอดก่อนกำหนด ต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตของปอด
  • หญิงที่มีอายุครรภ์เกิน 36 สัปดาห์
  • ผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยที่ผ่าตัดต่อเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ หรือ ผ่าตัดบายพาสหัวใจ ไม่ควรเดินทางภายใน 2 สัปดาห์ ภายหลังผ่าตัด
  • ผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจผิดปกติ และมีอาการเหนื่อยหอบ
  • ผู้ป่วยโรคปอดที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
  • ผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ไม่สามารถหายใจเองได้
  • ผู้ป่วยโรคปอดบวม โรควัณโรคปอด ที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ
  • ผู้ป่วยโรคลมชักที่ยังควบคุมอาการไม่ได้
  • ผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับอุบัติเหตุและสมองกระทบกระเทือน ไม่เกิน 15 วัน
  • ผู้ที่ได้รับการฉีดสีตรวจเส้นเลือดในสมองไม่เกิน 3 วัน
  • ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช ที่อาการยังไม่สงบ
  • ผู้ที่ได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ไม่ถึง 24 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยโรคไซนัสหรือโรคหูอักเสบเฉียบพลัน
  • ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่อาจมีอาการทรุดลงระหว่างเดินทาง

ผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากการบิน

เครื่องบินเป็นพื้นที่จำกัด ผู้คนจำนวนมากต้องสัมผัส อยู่ใกล้ชิดกัน แม้ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention : CDC)  จะแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคเฉียบพลันหรือติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ควรชะลอการเดินทางออกไป แต่ก็ยังพบผู้ฝ่าฝืนอยู่เสมอ การโดยสารเครื่องบินอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัสโดยตรง เช่น การสัมผัสพื้นผิวเดียวกันกับผู้ที่มีการติดเชื้อเฉียบพลัน และด้วยความดันอากาศในห้องโดยสาร อาจทำให้ตาแห้ง หรือทำให้อาการเรื้อรังบางอย่างรุนแรงขึ้น รวมถึงความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นจนอาจส่งผลต่อหัวใจและปอดได้อีกด้วย

...

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา อาการที่พบบ่อยบนเครื่องบิน ได้แก่

  • เป็นลม
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ
  • อาการชัก
  • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

เหตุฉุกเฉินที่มักเกิดขึ้นในการเดินทางทางอากาศ

  • การกระทำของมนุษย์
  • การตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ
  • สภาพอากาศ เช่น ฝนตก หมอก พายุ
  • อายุการใช้งานของเครื่องบิน
  • ความผิดปกติของเครื่องยนต์

อาการต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง

โรคกลัวเครื่องบิน (Aerophobia)

หลายคนอาจมีความวิตกกังวลและตื่นตระหนกเกี่ยวกับการบิน ความกลัวการบินถือเป็นโรคกลัว (Phobia) ที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 รองจากกลัวงูและแมงมุม ซึ่งอาจเกิดจากที่เป็นโรคกลัวที่แคบ กลัวความสูง หรือเคยมีประสบการณ์การบินที่ไม่ดี รวมถึงการเสพข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดบนเครื่องบินต่างๆ โดยการเอาชนะความกลัวเวลาบินเมื่ออยู่บนเครื่องบินแทนการจมอยู่กับความกลัวและคิดวิตกกังวล ให้พยายามหันเหความสนใจของตัวเองด้วยการพูดคุยกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ดูหนัง อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือรับประทานอาหารแทน

ปวดหู หูอื้อ (ear barotrauma)

อาการปวดหู หูอื้อขณะเครื่องบินขึ้นหรือลง เกิดจากหูชั้นกลางไม่สามารถปรับความดันให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก หากมีอาการรุนแรง อาจส่งผลให้สูญเสียการได้ยิน มีปัญหาเรื่องการทรงตัว เวียนศีรษะ และมีเลือดออกจากหูได้ วิธีบรรเทาภาวะปวดหูหรือหูอื้อ ทำได้โดยการกลืนน้ำลาย หาว เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือเป่าให้ลมออกหู เพื่อให้ท่อปรับความดันที่หู (Eustachian tube) เปิดออก ซึ่งส่งผลให้ความดันในหูเท่ากับบรรยากาศภายนอก หากอาการหูอื้อไม่ดีขึ้น รู้สึกไม่สบาย แน่น หรือได้ยินไม่ชัดเป็นเวลานานกว่า 2-3 วัน ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย

...

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)

ภาวะขาดน้ำมีหลายสาเหตุ เช่น อากาศภายในห้องโดยสารของเครื่องบินมักแห้งและมีความดันต่ำ ทำให้น้ำจากผิวหนังและระหว่างการหายใจระเหยเร็วขึ้น รวมถึงผู้โดยสารส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติระหว่างเที่ยวบิน จึงมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอจนส่งผลต่อระบบไหลเวียนของเหลวและการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง ทางเดินอาหาร กล้ามเนื้อ หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำมากเกินไปเป็นเวลานาน อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอ แม้ไม่รู้สึกหิวน้ำก็ตาม

เจ็ตแล็ก (Jet lag)

ภาวะเจ็ตแล็กเกิดขึ้นเมื่อข้ามเขตโซนเวลา โดยทั่วไปปัญหาการนอนหลับจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเดินทางข้ามโซนเวลาอย่างน้อย 3 โซน แต่ก็สามารถเกิดจากการเดินทางหรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยได้เช่นกัน เจ็ตแล็กอาจส่งผลต่ออารมณ์ สมาธิ และความเหนื่อยล้า อาจต้องใช้เวลาตั้งแต่ 2 วัน จนถึง 2 สัปดาห์ ในการปรับให้เข้ากับเขตเวลาใหม่โดยสมบูรณ์ ขึ้นอยู่กับระยะทางที่เดินทาง นอกจากนี้ระบบของร่างกายที่แตกต่างกันจะใช้เวลาปรับที่ต่างกัน เช่น การย่อยอาหารสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าการนอนหลับ วิธีลดผลกระทบจากเจ็ตแล็ก สามารถทำได้โดยตั้งนาฬิกาชีวิตให้เป็นโซนเวลาของจุดหมายปลายทางก่อนออกเดินทาง เช่น หากกำลังจะเดินทางไปทางตะวันตก ให้ลองเข้านอนดึกขึ้นและตื่นสายก่อนการเดินทาง 2-3 วัน และเมื่อเดินทางไปถึง ให้ตื่นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

แม้การเดินทางด้วยเครื่องบินจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ แต่คนจำนวนมากเลือกเดินทางโดยเครื่องบินเพิ่มขึ้น ซึ่งก่อนการเดินทาง การเตรียมตัวทั้งก่อนและระหว่างการเดินทางจึงมีความสำคัญ ยิ่งในกลุ่มที่มีโรคประจำตัวควรที่ปรึกษาแพทย์ เตรียมยาและอุปกรณ์จำเป็นก่อนเดินทางให้พร้อม หากมีปัญหาสุขภาพหรือมีอาการผิดปกติสามารถ ปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ (Virtual Hospital) และบริการเติมยาออนไลน์ ส่งถึงบ้าน

...

ทั้งนี้การเดินทางควรปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวัง มีสติ พร้อมฟังคำแนะนำของพนักงานบนเครื่องบิน เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ปราศจากโรคภัย และมีความสุขกับการท่องเที่ยว

ขอบคุณข้อมูล : นพ. จงสวัสดิ์ ภูติรัตน์ โรงพยาบาลสมิติเวช