การที่ใครสักคนมีอาการวิตกกังวล หวาดระแวง ตัวสั่น หรือหายใจไม่ออกกับเรื่องที่คนทั่วไปอาจจะเห็นว่าไม่มีอะไรน่าตกใจ อย่าเพิ่งไปตัดสินว่าเขาทำตัวเกินกว่าเหตุ เพราะนี่คืออาการของผู้ป่วยโรคแพนิค ภาวะทางจิตเวชที่คนไม่ป่วยยากที่จะเข้าใจ แต่ไม่ควรมองข้าม
โรคแพนิค (Panic disorder) หรือโรคตื่นตระหนกเป็นโรควิตกกังวลที่มีอาการตกใจกลัวอย่างกะทันหันและรุนแรงทั้งที่ไม่ได้เผชิญกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่อันตราย สามารถพบได้ถึงร้อยละ 3 – 5 ในประชากรทั่วไป คนส่วนใหญ่จะเคยมีอาการแพนิคหนึ่งหรือสองครั้งในชีวิต ซึ่งความถี่ในการเกิดอาการแพนิคอาจแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่มีอาการหลายๆ ครั้งต่อวันไปจนกระทั่งมีอาการเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี
สาเหตุของโรคแพนิคยังไม่ทราบที่มาอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่ามาจากหลายปัจจัย ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ
ทางร่างกาย
อาจเกิดจากสมองส่วนควบคุมความกลัวที่เรียกว่า “อะมิกดาลา” ทำงานผิดปกติ เมื่อมีสิ่งกระตุ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรม ความคิดที่ผิดปกติ และต่อเนื่องไปถึงการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย คล้ายระบบสัญญาณกันขโมยดังขึ้นโดยไม่มีขโมยจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางร่างกายอื่นๆ เช่น
- กรรมพันธุ์ คนที่มีญาติเป็นโรคแพนิค มีแนวโน้มจะเป็นได้มากกว่าคนทั่วไป
- การใช้สารเสพติด จะทำให้สมองทำงานผิดปกติ หรือสารเคมีในสมองเสียสมดุล
- ฮอร์โมนที่ผิดปกติก็อาจทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุลได้
...
ทางจิตใจ
มีงานวิจัยยืนยันว่าคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเสียสมดุลของสารเคมีในสมองได้ โดยเฉพาะในวัยเด็ก มีโอกาสเป็นโรคแพนิคได้มากกว่า เช่น ถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขืน เป็นต้น
อาการโรคแพนิค
อาการของโรคแพนิคมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีอาการอยู่นาน 1 – 10 นาที บางรายอาจมีอาการนาน 30 นาที – 1 ชั่วโมง หากมีอาการซ้ำภายในสัปดาห์หลายครั้ง ควรรีบมาพบจิตแพทย์ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- หัวใจเต้นแรง
- เหงื่อออกมาก
- ตัวสั่น
- หายใจไม่ออก หรือมีอาการคล้ายขาดอากาศหายใจ
- เจ็บแน่นหน้าอก
- คลื่นไส้ หรือท้องเสีย
- เวียนศีรษะ หรือรู้สึกอ่อนแรง
- ผิวหนังเย็น หรือร้อนวาบ
- รู้สึกชาหรือร่างกายไม่ค่อยรับความรู้สึก
- กลัวการสูญเสียการควบคุม หรือกลัวตาย
โรคแพนิค ไม่อันตราย แต่ควรรีบรักษา
การรักษาโรคแพนิคสามารถทำได้หลายวิธี โดยจิตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น
- การใช้ยา: ยาที่ใช้รักษาโรคแพนิคมักจะเป็นยากลุ่มต้านอาการซึมเศร้า และยาคลายความวิตกกังวล เพื่อช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับความกลัวและความวิตกกังวล
- การบำบัดทางจิตวิทยา: การบำบัดความคิดและพฤติกรรม เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความกลัวและอาการที่เกิดขึ้น และเรียนรู้วิธีการจัดการกับอาการเหล่านั้น
- การฝึกหายใจและการผ่อนคลาย: การฝึกหายใจลึกๆ และการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อสามารถช่วยลดอาการตื่นตระหนกและทำให้รู้สึกสงบลงได้
- การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การนอนหลับเพียงพอ และการหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดอาการแพนิคได้
แม้ว่าโรคแพนิคจะไม่ได้อันตรายต่อชีวิต แต่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต หากมีอาการควรรีบมาพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
ข้อมูลอ้างอิง: ร.พ. จิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, ร.พ. BMHH