ในสังคมยุคดิจิทัลที่อะไรๆ ก็สะดวก รวดเร็ว ข้อมูลถูกส่งต่อได้อย่างทันทีทันใด ทำให้สังคมมนุษย์เราเหมือนยิ่งใกล้ยิ่งห่าง นั่งอยู่ข้างกันแต่ไม่คุยกัน ต่างคนต่างก้มหน้าอยู่ในโลกโซเชียลกันทั้งวันปัญหาความสัมพันธ์ที่ถูกโลกออนไลน์ทำให้คนเรายิ่งห่างกันมากขึ้นในชีวิตจริง ยังไม่นับรวมความเครียดจากงาน รถติดบนท้องถนน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องเจอสะสมอยู่ในทุกวัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ! ว่าตัวเรากำลังมีปัญหาทางสุขภาพใจ หรือเข้าใกล้โรคซึมเศร้ามากแค่ไหน มาดูกัน!
เข้าใจก่อนว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต แค่มีความผิดปกติที่สารเคมีในสมอง
ถึงแม้โรคซึมเศร้าเกิดจากหลายสาเหตุทั้งจากความเครียดสะสม ปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ การสูญเสียใหญ่ๆ ในชีวิต การมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนบางชนิด แต่สาเหตุหลักๆ คือความผิดปกติหรือความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง อย่างสารเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟรีน (Norepinephrine) ที่ลดลงกว่าระดับปกติ จึงส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและระดับความสุขในชีวิตของผู้ที่มีภาวะโรคซึมเศร้า
8 สัญญาณให้คนทำงานหมั่นสังเกตตัวเองเบื้องต้นก่อนเสี่ยงโรคซึมเศร้า
เมื่อไหร่ที่เริ่มสับสนว่าเราแค่เครียดเรื่องงาน หรือเป็นอาการเริ่มต้นของโรคซึมเศร้ากันแน่นะ ให้ลองสังเกต 8 สัญญาณนี้ ถ้ามีมากกว่า 5 อาการติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ สงสัยเลยว่าเราอาจต้องรีบหาทางแก้ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนจะเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าขั้นเรื้อรัง
- รู้สึกว่างเปล่าหรือสิ้นหวัง อยู่ๆ ก็มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองอย่างที่เคยเป็น
- เบื่อในสิ่งที่เคยชื่นชอบ ไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชอบทำอีกต่อไป
- นอนไม่หลับ หรือนอนมากกว่าปกติ นอนนานผิดปกติ
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไร
- ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้ รู้สึกกระสับกระส่าย หงุดหงิด กระวนกระวายใจ
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากแบบผิดปกติ เพราะพฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป
- ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจอย่างที่เคยเป็น
- มีความคิดว่าอยากตาย รู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ (ข้อนี้สำคัญมาก มีสัญญาณนี้เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์โดยด่วน)
...

มาป้องกันโรคซึมเศร้าแบบมนุษย์ยุคดิจิทัลกัน
ต้องยอมรับก่อนว่าโลกโซเชียลก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนวัยทำงานเราเข้าใกล้โรคซึมเศร้าได้ง่ายขึ้น งั้นมาดูวิธีป้องกันแบบทำตามได้จริงสำหรับการใช้ชีวิตในยุคออนไลน์
1. จำกัดเวลาการใช้สมาร์ทโฟน
นอกเหนือจากการใช้เพื่อทำงาน ควรตั้งกฎกับตัวเองว่าเราจะเล่นโซเชียลวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อครบแล้วให้วางทันที แล้วลุกไปทำกิจกรรมอื่นแทน
2. ดูคอนเทนต์อะไรที่เปิดโลกและสร้างสรรค์
ถ้าวางมือถือลงไม่ได้จริงๆ แนะนำให้ดูคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ไปเลย แทนที่จะส่องเฟซบุ๊กชาวบ้านไปทั่ว ลองเปลี่ยนเป็นเข้า Netflix หรือ YouTube แล้วดูรายการประเภทที่จะจุดประกายชีวิตเรา เช่น เรื่องราวของนักสร้างสรรค์งานทั่วโลก บุคคลเจ๋งๆ ที่เขามีแนวคิดอะไรที่เปิดมุมมองใหม่ๆ หรือแม้แต่สารคดีอาหาร หรือการท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็จะทำให้คุณรู้สึกว่า เอ้อ!!! โลกนี้ยังมีอะไรน่าสนใจอีกเพียบ ทำให้เราอยากออกไปใช้ชีวิตให้มากขึ้น
3. ทำ Vlog ในสิ่งที่เราถนัดและแชร์ออกไป
ถ้าเพิ่งคิดว่ามันยาก ให้คุณลองค้นหาตัวเองดูว่าอะไรที่เราทำได้ดี เรื่องไหนที่เราเชี่ยวชาญ สิ่งไหนที่เราเล่าให้เพื่อนฟังทีไร เพื่อนจะต้องร้องว๊าววว นั่นแหละคือความเจ๋งในตัวคุณ แค่เล่ามันออกมา ถ่ายวิดีโอตัวเองแบบง่ายๆ ฝึกตัดต่อวิดีโอด้วยสมาร์ทโฟน แล้วแชร์ออกไปบนโลกโซเชียล แค่นี้คุณก็จะสนุกและได้อินสไปร์คนอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย

อย่าลืมว่าหัวใจสำคัญของการป้องกันโรคซึมเศร้า คือการมีความสุขในชีวิต เห็นคุณค่าในตัวเอง ด้วยการรักตัวเองให้เป็น ดังนั้น ขอเพียงแค่คุณอย่าเก็บตัวอยู่เฉยๆ ลุกขึ้นมาลงมือทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่มีความสนใจและชื่นชอบ แล้วคุณจะมองเห็นข้อดีในทุกสิ่งที่ทำได้แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์ Let’s Talk โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน