- ภาวะมีบุตรยาก หมายถึง คู่สมรสที่มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอโดยไม่คุมกำเนิด แต่ไม่สามารถมีบุตรได้ภายในเวลา 1 ปี หรือระยะเวลา 6 เดือนในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีอายุเกิน 35 ปี
- การรักษาภาวะมีบุตรยากขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ตรวจพบ โดยพยายามให้เกิดการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม มีหลายสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง หรือการทำเด็กหลอดแก้ว ช่วยให้คู่สมรสมีบุตร
- การตรวจยีนก่อนการตั้งครรภ์ สามารถคัดกรองและวินิจฉัยความผิดปกติของยีนด้อยได้กว่า 400 ยีน ช่วยให้เด็กที่จะเกิดมามีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคลดลง กรณีตรวจพบความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรม แล้วคู่สมรสยังต้องการมีบุตร แพทย์จะทำการคัดกรองตัวอ่อนที่ไม่มียีนผิดปกติ จากนั้นจึงนำเอาตัวอ่อนที่แข็งแรงใส่กลับเข้าไปยังมดลูก ช่วยให้คู่สมรสที่มีบุตรยาก มีโอกาสตั้งครรภ์ ที่ไม่ใช่ยีนผิดปกติ
ด้วยปีมะโรง หรือมังกร ในความเชื่อของชาวจีนว่าเป็นปีมงคลที่สุด และเชื่อว่าเด็กที่เกิดในปีมังกรทองจะประสบความสำเร็จ ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง คุณพ่อคุณแม่หลายคู่จึงวางแผนตั้งครรภ์เพื่อคลอดลูกให้ทันปีมังกรทอง
แต่การวางแผนมีบุตรอาจไม่ง่ายสำหรับทุกคน เพราะนอกจากการวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม และการตรวจสุขภาพเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตร อาจเจอปัญหาที่ซ่อนอยู่อย่างไม่คาดคิด นั่นคือภาวะมีบุตรยาก
ภาวะมีบุตรยาก
ภาวะมีบุตรยาก หมายถึง คู่สมรสที่มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอโดยไม่คุมกำเนิด แต่ไม่สามารถมีบุตรได้ภายในเวลา 1 ปี หรือระยะเวลา 6 เดือน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีอายุเกิน 35 ปี
สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
...
ภาวะมีบุตรยากอาจเกิดจากความผิดปกติของผู้ชายหรือผู้หญิง หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกัน
สาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง
- ฮอร์โมนผิดปกติ ส่งผลต่อการตกไข่
- ท่อนำไข่ผิดปกติ อาจเกิดจากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุ
- โพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือจากการผ่าตัดอุ้งเชิงกราน
- ความผิดปกติของมดลูก และปากมดลูก ส่งผลให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ได้
- ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัย
- ปัญหาสุขภาพ โรคประจำตัว
- ความเครียด ความวิตกกังวล

สาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย
- จำนวนอสุจิน้อย และปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับตัวอสุจิ เช่น ความสามารถในการเคลื่อนที่ต่ำ ท่อนำน้ำเชื้ออุดตัน
- มีปัญหาการหลั่งน้ำอสุจิ หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- โรคทางพันธุกรรม ซึ่งส่งผลต่อการผลิตอสุจิ
- หลอดเลือดดำภายในถุงอัณฑะโป่งพองทำให้มีผลต่อคุณภาพของน้ำอสุจิ
- ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ
- โรคประจำตัว
- ทำงานหนัก ความเครียด
การรักษาภาวะมีบุตรยาก
การรักษาภาวะมีบุตรยากขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ตรวจพบและรักษาไปตามขั้นตอน โดยพยายามให้เกิดการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ เช่น ให้ยากระตุ้นการทำงานของลูกอัณฑะ หาความผิดปกติของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรังไข่ และพิจารณาผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูก
อย่างไรก็ตาม มีหลายสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ช่วยให้คู่สมรสมีบุตร ได้แก่
- การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง (intrauterine insemination: IUI) เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหามากนัก โดยการนำน้ำเชื้ออสุจิที่คัดแล้วฉีดเข้าไปผสมกับไข่ในร่างกายของฝ่ายหญิงที่ได้รับการกระตุ้นให้ไข่ตก ซึ่งวิธีนี้ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์
- การปฏิสนธิภายนอกร่างกายหรือเด็กหลอดแก้ว (in vitro fertilization: IVF) เป็นการรักษาภาวะมีบุตรยากที่รักษาจากสาเหตุไม่ได้ผลหรือหาสาเหตุไม่ได้ ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3 สัปดาห์
ซึ่งอัตราการตั้งครรภ์จากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พบได้ประมาณ 30% อย่างไรก็ตามอัตราการตั้งครรภ์ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิง รวมถึงโอกาสการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนรอบของการรักษา
ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์
การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ เป็นการป้องกันโรคร้ายถ่ายทอดสู่ลูก โดยการตรวจพื้นฐานของผู้ชายและผู้หญิงไม่แตกต่างกัน แต่อาจมีการตรวจเพิ่มเติมในรายละเอียด ดังนี้
การตรวจเพิ่มเติมในผู้หญิง
- ตรวจมะเร็งปากมดลูก (HPV+Thin Prep)
- ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนล่าง เพื่อประเมินมดลูกและรังไข่ (TVS - Transvaginal Ultrasound)
- ตรวจวัดระดับฮอร์โมน ความสมบูรณ์ของรังไข่ AMH - Anti-Mullerian Hormone
- ตรวจท่อนำไข่
...
การตรวจเพิ่มเติมในผู้ชาย
- ตรวจความสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ (Semen Analysis)
- ตรวจฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone)
- ตรวจค่า PSA วิเคราะห์มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer)
- ตรวจฮอร์โมนภายในต่อมหมวกไต (DHEA-S)
(อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.samitivejhospitals.com/th/package/detail/pre-marital-screening-svh)
ตรวจยีนก่อนการตั้งครรภ์
นอกจากการตรวจสุขภาพพื้นฐานก่อนตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อ คัดกรองพาหะยีนด้อยที่พบในกลุ่มโรคบางชนิดที่เกิดจากความผิดปกติจากพ่อหรือแม่ที่ส่งผลไปยังลูก ซึ่งมีโอกาสที่จะมีลูกเป็นโรคทางพันธุกรรมแบบลักษณะด้อยชนิดรุนแรงได้ถึงร้อยละ 25%
การตรวจยีนก่อนการตั้งครรภ์ สามารถคัดกรอง และวินิจฉัยความผิดปกติของยีนด้อยได้กว่า 400 ยีน ซึ่งช่วยให้เด็กที่จะเกิดมามีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคลดลง กรณีตรวจพบความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรม แล้วคู่สมรสยังต้องการมีบุตร แพทย์จะทำการคัดกรองตัวอ่อนที่ไม่มียีนผิดปกติ จากนั้นจึงนำเอาตัวอ่อนที่แข็งแรงใส่กลับเข้าไปยังมดลูก ช่วยให้คู่สมรสที่มีบุตรยาก มีโอกาสตั้งครรภ์ ที่ไม่ใช่ยีนผิดปกติจากการคัดกรองคัดเลือกตัวอ่อนดังกล่าวแล้ว
ในกรณีที่มีความผิดปกติของการฝังตัวอ่อน ยังมีเทคโนโลยีการตรวจหาสาเหตุ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ต่อไป (อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.samitivejhospitals.com/th/page/preconception-screening)

ตรวจยีนก่อนการตั้งครรภ์เหมาะกับใคร
- ผู้ที่เป็นโรคทางพันธุกรรม หรือมีครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคทางพันธุกรรม
- ผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก ต้องการป้องกันโรคพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูก
ฝากครรภ์แบบเฉพาะบุคคล
คุณแม่ควรรีบไปฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ โดยเข้ารับการตรวจครรภ์ครั้งแรกไม่ควรเกินอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ และตรวจทุกๆ 1-2 เดือน จนกว่าจะคลอด หรือตามแพทย์พิจารณา
ปัจจุบันการแพทย์ได้พัฒนาความรู้และเทคโนโลยี โดยคำนึงถึงความแตกต่างในยีน สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตของแต่ละคน มาสู่การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ ป้องกัน และรักษาโรคแบบเฉพาะบุคคล เช่นเดียวกับการวางแผนครอบครัวและการฝากครรภ์แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Obstetrics) ที่มุ่งเน้นดูแลครรภ์เฉพาะบุคคล ตั้งแต่เริ่มวางแผนการตั้งครรภ์ การป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ จนถึงการคลอดบุตรที่แข็งแรงสมบูรณ์
การฝากครรภ์แบบเฉพาะบุคคล เพื่อป้องกันวินิจฉัยให้การแก้ไขตั้งแต่เริ่มรักษา เช่น ภาวะคลอดก่อนกำหนด และภาวะครรภ์เป็นพิษ ทั้งนี้การฝากครรภ์แบบเฉพาะบุคคลยังสามารถช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุมากกว่า 35 ปี ใช้วิธีเจาะเลือดแม่ แทนการเจาะน้ำคร่ำ เพื่อลดปัญหาพันธุกรรมของลูกในครรภ์
...
คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการมีลูก ควรดูแลสุขภาพตัวเองให้พร้อมเพื่อการตั้งครรภ์ กรณีมีปัญหาประจำเดือนไม่ปกติ เครียด หรือมีความวิตกกังวล อาจเข้ารับการตรวจภาวะมีบุตรยาก รวมถึงตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ และตรวจยีนก่อนตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนมีลูกที่สมบูรณ์แข็งแรง
(อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/precision-obstetrics)
ขอบคุณข้อมูล : รศ.ดร.นพ.บุญศรี จันทร์รัชชกูล แพทย์ชำนาญการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท