• อาการแสดงของโรคไข้เลือดออกในเด็ก มีตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติ ไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
  • ผู้ติดเชื้อไข้เลือดออก หากไข้สูงนานตั้งแต่ 3-7 วัน จะอยู่ในระยะวิกฤติ อาจเกิดภาวะช็อก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น และอาจเสียชีวิตได้
  • การได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ 80.2% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 90.4% โดยวัคซีนสามารถฉีดได้ทั้งในคนที่เคยและไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก (Dengue fever)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังได้ยินข่าวว่าโรคไข้เลือดออกได้คร่าชีวิต ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปจำนวนไม่น้อย ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี 

อาการแสดงของโรคมีตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติ ไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ไข้เลือดออกยังเป็นโรคที่คาดเดาได้ยากว่า ใครจะมีอาการรุนแรงหรือไม่

...

สาเหตุของการติดเชื้อไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี 1 ใน 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 ผ่านการกัดของยุงลายบ้าน หรือยุงไข้เหลืองเพศเมีย (aedes aegypti) เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดของผู้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกีช่วงที่ไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือด และยุงลายที่เป็นพาหะไปกัดผู้อื่น เชื้อไวรัสเดงกีจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกกัดจนทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัส

อาการไข้เลือดออกในเด็ก

เนื่องจากเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ มีการแพร่ระบาดสลับหมุนเวียน ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้ง กรณีติดเชื้อครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งแรก อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

โดยอาการของโรคไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

1. ระยะไข้สูง (febrile phase)
อาการไข้เลือดออก ระยะแรก เป็นระยะไข้สูงลอยแบบเฉียบพลัน มีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส นานติดต่อกัน 2-7 วัน ระยะนี้มักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ และมักมีอาการร่วมด้วย คือ

  • ปวดศีรษะ
  • ปวดเบ้าตา
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • เบื่ออาหาร
  • ปวดข้อ ปวดกระดูก
  • มีจ้ำเลือดบริเวณผิวหนัง

2. ระยะวิกฤติ (critical phase)
หลังระยะไข้สูงประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะช็อก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต โดยมีอาการที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้

  • ปวดท้องอย่างรุนแรง (บริเวณชายโครงขวา)
  • คลื่นไส้ อาเจียน อย่างต่อเนื่อง
  • ไม่สามารถรับประทานอาหารได้
  • เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
  • ปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
  • มีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามผิวหนัง
  • หายใจลำบาก
  • เหนื่อยล้า ซึมลง
  • ความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ
  • ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือช็อก อาจเสียชีวิตได้

3. ระยะฟื้นตัว (recovery phase)
หากผ่านระยะไข้สูงโดยไม่ได้เข้าสู่ระยะวิกฤติ หรือพ้นจากระยะวิกฤติ 1-2 วัน จะเป็นช่วงระยะฟื้นตัว โดยอาการต่างๆ เริ่มดีขึ้น ร่างกายกลับมาทำงานตามปกติ เป็นระยะที่ปลอดภัย มีสัญญาณ ดังนี้

  • ไข้ลดลง
  • ชีพจรเต้นปกติ
  • สามารถปัสสาวะเองได้
  • มีความอยากอาหารมากขึ้น
  • มีผื่นเป็นวงสีขาวสากๆ ขึ้นตามร่างกาย

การรักษาโรคไข้เลือดออกในเด็ก

เมื่อแพทย์ยืนยันผลการตรวจพบโรคไข้เลือดออก จะเริ่มทำการรักษาด้วยการช่วยให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อกลับเข้าสู่สภาวะปกติเร็วที่สุด และป้องกันภาวะช็อก ดังนี้

...

  • ให้สารน้ำทางหลอดเลือด หรือให้น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดดำ
  • ให้รับประทานยาแก้ปวด ลดไข้
  • ดื่มผงเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ
  • ให้เลือด ในกรณีมีเลือดออกมาก
  • จำเป็นต้องมีการเจาะเลือดเป็นระยะเพื่อตรวจค่าเลือด เฝ้าระวังภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวลดต่ำ เม็ดเลือดแดงเข้มข้น หรือความดันโลหิตต่ำ

การป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็ก

  • ป้องกันไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุง สวมเสื้อแขนยาว
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะบริเวณน้ำนิ่งและน้ำขัง
  • ปัจจุบันมีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ชนิดล่าสุด ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ ได้สูงถึง 80.2% และป้องกันอาการรุนแรงได้ 90.4% โดยฉีดเพียง 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน และสามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออก

ขอบคุณข้อมูล : พญ.วิริยาภรณ์ จันทร์รัชชกูล กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช