การจากไปของอดีตพระเอกดัง เมฆ วินัย ไกรบุตร ที่ป่วยด้วยโรคตุ่มน้ำพองเป็นเวลานานจนต้องหยุดงานในวงการบันเทิงไปเพื่อรักษาตัว ทำให้หลายคนสงสัยว่า โรคตุ่มน้ำพอง เกิดจากอะไร อันตรายมากน้อยแค่ไหน สามารถรักษาได้หรือไม่
โรคตุ่มน้ำพอง เกิดจากอะไร
โรคตุ่มน้ำพอง ที่ เมฆ วินัย ไกรบุตร กำลังป่วยอยู่นั้นเกิดจากภูมิคุ้มกัน เป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นตุ่มพองน้ำ เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้ไม่บ่อยมาก สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่มาทำลายโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังหลุดออกจากกัน กลายเป็นตุ่มน้ำ และแผลถลอก รวมถึงพันธุกรรม การติดเชื้อ การแพ้ยา แพ้สารเคมี หรืออาจเรียกอีกแบบว่า “ภูมิเพี้ยน” คือ ภูมิต้านทานที่มีหน้าที่คอยต่อสู้กับเชื้อโรค สิ่งกลุ่มด้วยกัน ได้แก่ โรคเพมฟิกัส และโรคเพมฟิกอยด์
โรคตุ่มน้ำพองบางชนิดพบในวัยเด็ก บางชนิดพบในผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ สามารถพบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถรักษาให้หายขาดได้ และโดยทั่วไปไม่ทำให้เสียชีวิต
...
อาการโรคตุ่มน้ำพอง
- มีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง หรือที่บริเวณเยื่อบุต่างๆ ร่วมด้วย
- เมื่อตุ่มน้ำแตกจะเกิดแผลถลอก หรือเป็นสะเก็ด ทำให้มีอาการปวดแสบหรือคัน
- ผู้ป่วยในช่วงอายุ 50-60 ปี มักเกิดจากความผิดปกติที่ชั้นผิวหนังกำพร้าในผิวหนังชั้นตื้น แต่อาจกินบริเวณกว้าง
- ผู้ป่วยจะมีแผลเหมือนถูกน้ำร้อนลวก
- ส่วนใหญ่มักมีแผลถลอกในช่องปากร่วมด้วย
- อาจพบแผลถลอกที่เยื่อบุบริเวณอื่น เช่น ทางเดินหายใจ เยื่อบุช่องคลอด และอวัยวะเพศ
ตำแหน่งที่พบตุ่มน้ำพองได้บ่อย คือ ศีรษะ หน้าอก หน้าท้อง และบริเวณที่ผิวหนังเสียดสีกัน ผู้ป่วยบางรายมีแผลที่เยื่อบุในปากเป็นอาการนำของโรค ทำให้กลืนอาหารลำบาก ทั้งอาจลามต่ำลงไปถึงคอหอย และกล่องเสียง ทำให้เสียงแหบได้ แผลถลอกที่เกิดขึ้นทั้งที่ผิวหนังและเยื่อบุจะหายช้า เมื่อหายมักไม่เป็นแผลเป็น แต่จะทิ้งรอยดำบนผิวหนังในช่วงแรก และจะจางไป
ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยบางรายที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ผิวหนัง แผลจะมีลักษณะเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น หายได้ยาก มักกลายเป็นรอยแผลเป็น ถ้าเป็นรุนแรง เชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสเลือดทำให้มีไข้และอาการทางระบบอื่นๆ ร่วมด้วย และอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
โรคตุ่มน้ำพอง รักษาได้ไหม
วิธีการรักษาโรคตุ่มน้ำพองขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
- ผู้ป่วยที่มีอาการมากควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อทำแผลอย่างถูกวิธี และเฝ้าระวังแผลติดเชื้อ
- กรณีที่รับประทานอาหารไม่ได้ อาจต้องให้สารอาหารทางสายทดแทน
- การใช้ยารักษามักต้องใช้ในขนาดสูงเพื่อควบคุมโรคในช่วงแรก และปรับลดขนาดยาลงให้ต่ำที่สุดที่จะควบคุมโรคได้
- ผู้ป่วยต้องทานยาต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อควบคุมให้โรคสงบ
- ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจได้รับยากดภูมิต้านทานอื่นๆ
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง
โรคตุ่มน้ำพองเป็นโรคเรื้อรัง อาการของโรคอาจกำเริบ และสงบสลับกันไป ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรมารับการตรวจรักษาโดยสม่ำเสมอ และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งโดยเคร่งครัด เนื่องจากผู้ป่วยมักจะได้รับยาที่กดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ ไม่ไปสถานที่แออัด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ถ้ามีอาการที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
- ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือไม่สะอาด
- ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่ควรตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ ถึงแม้ว่าโรคสงบแล้ว ถ้าจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ เพราะแพทย์อาจจะยังให้ยาบางชนิดเพื่อควบคุมโรคไม่ให้กำเริบ ซึ่งอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้เช่นกัน
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาเพรดนิโซโลน ถ้ามีอาการปวดท้อง อุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด ควรรีบพบแพทย์
ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนจากยา
...
กรณีที่สงสัยว่าจะเป็นโรคตุ่มน้ำพองแนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการวินิจฉัย และรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
ทั้งนี้ สาเหตุของโรค 90% เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ วิธีป้องกันจึงไม่มี หากรู้ว่าเป็นก็รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
เมื่อเป็นโรคควรทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอ บริเวณที่เป็นแผลให้ใช้น้ำเกลือทำความสะอาด ไม่แกะเกาผื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ผู้ป่วยที่มีแผลในปากควรงดอาหารรสจัด งดรับประทานอาหารแข็ง ของขบเคี้ยว เนื่องจากอาจกระตุ้นการหลุดลอกของเยื่อบุในช่องปาก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ไม่ควรใส่เสื้อผ้ารัดคับ เพื่อลดการถลอกที่ผิวหนัง หลีกเลี่ยงแสงแดด และความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ
...
ข้อมูลอ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงพยาบาลเปาโล