“แผลร้อนใน” คือ แผลในปากที่มีลักษณะเป็นรูปวงกลมหรือวงรี มีสีขาวหรือสีออกเหลือง นอกจากนี้ รอบๆ รอยแผลมักจะเป็นสีแดง

ขนาดของแผลร้อนในมีขนาดเล็กๆ ตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรไปจนถึง 1 เซนติเมตร และอาจจะทำให้เกิดอาการเจ็บหรือระคายเคืองได้เวลาที่รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ และพูด

สาเหตุของการเป็นแผลร้อนในยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากพันธุกรรม การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิก การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของผู้หญิงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน ความเครียด ความกังวล การพักผ่อนน้อย การแพ้อาหารบางอย่างที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุในช่องปาก

ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นแผลร้อนในก็สอดคล้องไปกับสาเหตุ เช่น ผู้หญิงในวัยช่วงที่มีประจำเดือน คนที่มีภาวะเครียด ส่งผลพักผ่อนไม่เพียงพอ คนที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคโครห์น (Crohn's Disease) โรคเบเซ็ท (Behcet’s disease) โรคเอชไอวี (HIV) ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร หรือการจัดฟัน หรือใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม

อาการ

คนไข้จะมีอาการบวม แดง เป็นแผล และเจ็บบริเวณที่เป็น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกตำแหน่งในปาก ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากด้านใน ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม บางรายถ้ามีอาการมาก อาจจะมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บจนมีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมโต

การวินิจฉัย

ดูจากลักษณะรอยแผลเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่ แผลร้อนในสามารถหายเองได้ แต่ควรสังเกตอาการเพราะอาจจะเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็งในช่องปากได้ แต่ต้องอาศัยการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยด้วย ดังนั้น หากมีแผลเกิดขึ้นมากว่าจุดเดียว เกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าแผลเก่ายังไม่หาย แผลมีขนาดใหญ่กว่าปกติ หรือมีการกระจายไปยังบริเวณอื่น ถ้ามีอาการเหล่านี้ก็แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาโดยเร็ว

...

การรักษา

ส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่ในช่วงที่มีอาการ ก็ควรดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ ใช้แปรงสีฟันที่มีลักษณะขนที่อ่อนนุ่ม ใช้น้ำยาบ้วนปากรสอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด

การรักษายังสามารถใช้ยาบางตัวเพื่อบรรเทาอาการได้ เช่น ยาสเตียรอยด์ชนิดทาในช่องปาก หรือถ้ากรณีที่คนไข้มีอาการมากอาจจะใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ ฉีดพ่นเฉพาะบริเวณที่เป็นแผล


การป้องกัน

การป้องกันการเกิดแผลร้อนในทำได้ ดังนี้

1. รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน ของเผ็ดร้อน

2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผักผลไม้ที่มีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

4. พักผ่อนให้เพียงพอ

5. ทำจิตใจให้ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่เครียด

6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 4 วันต่อสัปดาห์

7. ตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6 เดือน

------------------------------------------------------------

แหล่งข้อมูล
อ. พญ.โยษิตา หมื่นแก้ว ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" ทั้งหมดได้ที่นี่