“โรคข้ออักเสบเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุในเด็ก (Juvenile Idiopathic Arthritis: JIA)” คือ โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ กล่าวคือ ภูมิคุ้มกันซึ่งมีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แต่กลับไปทำร้ายข้อของเด็ก ส่งผลให้เด็กมีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ มีน้ำในข้อ ข้อบวม
สาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ไม่มีใครทราบ ซึ่งตรงกับชื่อของโรคนี้นั่นคือ Juvenile Idiopathic Arthritis (JIA) แปลว่า โรคข้ออักเสบเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุในเด็ก แต่เชื่อว่าอาจจะเกิดจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่
1. ตัวเด็กเองอาจจะมีพันธุกรรมอะไรบางอย่างที่มีความเสี่ยงให้ภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป
2. สิ่งแวดล้อม เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรค เช่น การติดเชื้อโรค อาจจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เมื่อได้รับเชื้อโรคก็จะกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป หรือการได้รับยาบางชนิด การได้รับสารเคมี สารพิษ ความเครียด ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้ จะส่งผลให้เด็กที่มีพันธุกรรมที่เสี่ยงอยู่แล้วเกิดโรคนี้ได้
ชนิดของโรคข้ออักเสบเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุในเด็ก มีทั้งหมด 7 ชนิด ดังนี้
1. Systemic JIA หรือโรคข้ออักเสบที่มีอาการหลายระบบ คือ โรคข้ออักเสบที่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง ผื่นนูนแดงตามตัว ตับม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายมีเยื่อบุช่องปอดอักเสบ หรือเยื่อบุหัวใจอักเสบร่วมด้วยได้ โรคข้ออักเสบที่มีอาการหลายระบบนี้ มักพบในเด็ก 2-3 ขวบขึ้นไป เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุชนิดที่รุนแรงและพบบ่อยในประเทศไทย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาให้ทันเวลา ก็อาจจะทำให้มีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
2. Enthesitis-related arthritis หรือ ERA คือ โรคข้ออักเสบที่มีการอักเสบของเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่เกาะกระดูกร่วมด้วย ชนิดนี้มักพบในเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง คนไข้ในกลุ่มนี้มักมีข้ออักเสบบริเวณสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และอาจมีอาการปวดหลัง หลังแข็งตึงตอนเช้า และตาอักเสบร่วมด้วยได้ โดยชนิดนี้เป็นอีก 1 ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทย
...
ชนิดที่ 3. และ 4. ชนิดที่มีข้ออักเสบหลายข้อ คือ 5 ข้อขึ้นไป (polyarticular JIA) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีค่ารูมาตอยด์แฟกเตอร์บวกกับลบ กลุ่มที่มีค่ารูมาตอยด์แฟกเตอร์บวก จะมีการดำเนินโรครุนแรงกว่ากลุ่มที่มีค่ารูมาตอยด์แฟกเตอร์ลบ ชนิดนี้มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมักพบในเด็กโต อาการข้ออักเสบมักเป็นบริเวณข้อนิ้วมือ และข้อเล็กๆ
5. โรคข้ออักเสบที่น้อยกว่า 5 ข้อ (oligoarticular JIA) ชนิดนี้ข้ออักเสบมักจะไม่รุนแรง สิ่งที่รุนแรงก็คือ มักจะทำให้ตาอักเสบ ซึ่งอาการตาอักเสบนี้ไม่มีอาการ จะต้องส่งตรวจกับจักษุแพทย์ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ก็อาจจะนำไปสู่ภาวะตาบอดได้ ชนิดนี้พบในเด็กเล็กๆ ประมาณ 1-5 ขวบ
6. โรคข้ออักเสบที่พบร่วมกับสะเก็ดเงิน
7. ชนิดที่ 7 คือ ชนิดที่เข้าไม่ได้เลยกับ 6 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้น

การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยดูจากประวัติว่าคนไข้มีอาการข้ออักเสบเรื้อรังหรือไม่ กล่าวคือ มีอาการข้ออักเสบเรื้อรังเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป ข้อจะมีลักษณะบวม แดง ร้อน การเคลื่อนไหวของข้อจำกัด โดยไม่สามารถอธิบายได้จากสาเหตุอื่น ลักษณะอาการปวดข้อเด่นๆ คือ มักจะปวดตอนเช้า พอสายๆ อาการข้อตึง ปวดข้อจะดีขึ้น เนื่องจากตอนกลางคืนที่เด็กนอนหรืออยู่นิ่งๆ สารอักเสบจะค้างอยู่ตามข้อ แต่พอกลางวัน เมื่อเด็กๆ เริ่มขยับร่างกาย ก็จะทำให้ปวดข้อดีขึ้น
หลังจากนั้น แพทย์ก็จะตรวจร่างกายเพื่อประเมินว่ามีอาการของระบบอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ตามแต่ละชนิด เช่น มีต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามโต เอ็นอักเสบ หลังแข็งไหม จากนั้นก็จะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ซึ่งค่าเลือดของคนไข้ในกลุ่มนี้ก็จะมีค่าการอักเสบที่สูงกว่าคนปกติ และก็อาจจะมีเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดที่สูงกว่าปกติ นอกจากนี้ ก็จะส่งเอกซเรย์เพื่อดูว่าข้อมีการอักเสบ สึกกร่อนหรือไม่ เพราะบางรายหากปล่อยไว้นานแล้วเพิ่งมาพบแพทย์ก็อาจจะมีข้อผิดรูปได้
อันตรายและภาวะแทรกซ้อน
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ ชนิด systemic ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย ชนิดนี้เป็นชนิดที่มีความรุนแรงมากที่สุด หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลให้มีการอักเสบที่รุนแรงในร่างกายและมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หากผู้ปกครองสงสัยว่าบุตรของท่านเป็นโรคนี้ แนะนำให้รีบมาพบแพทย์เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที
ส่วนชนิดอื่นๆ ถ้าเป็นเรื้อรังแล้วไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดข้อติด ผิดรูป และนำไปสู่ความพิการได้ หรือบางชนิดที่มีอาการตาอักเสบ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะตาบอดได้
การรักษา
การรักษาในปัจจุบันมียาที่ทันสมัยมากขึ้น อย่างที่กล่าวไปว่า สาเหตุหลักเกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป การรักษาหลัก คือ การใช้ยาลดการอักเสบของข้อในกลุ่ม Non-steroidal Anti-inflammatory drugs (NSAIDs) ร่วมกับการใช้ยากดและปรับการทำงานของภูมิคุ้มกัน ซึ่งแต่ละชนิดของ JIA จะมียาหลักๆ แตกต่างกันออกไป เช่น ชนิด systemic ยาที่ใช้หลัก คือ ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็มียาที่เฉพาะกับโรคมากขึ้น ทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพ และสามารถใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) ได้ แต่ต้องสั่งโดยแพทย์เฉพาะทางโรคข้อในเด็กเท่านั้น จึงจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคนี้ค่อนข้างสูง และต้องได้รับการตรวจติดตามร่วมกับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
...

แม้ว่าโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุเรื้อรังจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่หากได้รับการรักษาเร็ว ก็สามารถลดหรือหยุดยา และดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่แม้ว่าจะหยุดยาไปแล้ว ก็ต้องติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องทุก 6 เดือน หรือทุก 1 ปีในช่วงแรก เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค
นอกจากการรักษาโดยใช้ยาเป็นหลักแล้ว ก็ยังมีการรักษาแบบประคับประคองร่วมด้วย ได้แก่ ให้ยาลดอาการปวด การทำกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันข้อติด นอกจากนี้ การแช่น้ำอุ่นก่อนการทำกายภาพก็จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถบริหารข้อได้ดีมากขึ้น และช่วยบรรเทาอาการปวดได้ นอกจากนี้ ควรทานอาหารทำสุก สะอาด เสริมแคลเซียมและวิตามินดี และควรให้เด็กออกกำลังกาย เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อเพิ่มเติมด้วย
การป้องกัน
เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุจึงไม่สามารถป้องกันได้ หากเป็นแล้วสิ่งที่ทำได้คือการป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ โดยการกินยาตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดยาเอง หากกินยาตัวไหนแล้วเกิดผลข้างเคียง ต้องปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อวางแผนการรักษาใหม่ นอกจากนี้ ก็ต้องดูแลให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายให้เหมาะสม ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ และฉีดวัคซีนตามวัยของเขา
...
@@@@@@@
แหล่งข้อมูล
ผศ.พญ.ศิริสุชา โศภนคณาภรณ์ สาขาโรคข้อและรูมาติสซั่ม ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล