“ระบบขับถ่ายปัสสาวะ” เป็นระบบในร่างกายระบบหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งประกอบไปด้วย ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะ และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเราจะสามารถควบคุมการปัสสาวะได้ โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะ และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ภายใต้การควบคุมจากระบบประสาทไขสันหลังและระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเรารู้สึกปวดปัสสาวะ สมองก็จะสั่งการให้กระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัว ขณะเดียวกันก็จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานคลายตัว ส่งผลให้สามารถปัสสาวะออกมาได้ในเวลาอันสมควร คือ เมื่อเดินไปถึงห้องน้ำแล้ว
ปัสสาวะแบบไหนเรียกว่าปกติ
โดยทั่วไปคนเราจะปัสสาวะทุก 2-3 ชั่วโมง ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวันว่ามากน้อยเพียงใด เช่น ในวันที่อากาศร้อน อาจจะมีการดื่มน้ำมากกว่าปกติ แน่นอนว่าจะส่งผลให้ปัสสาวะมากกว่าปกติ หรือหากว่าวันไหนที่ต้องเดินทาง ก็จะดื่มน้ำน้อยลง เพื่อที่จะไม่ต้องเข้าห้องน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้ว แนะนำให้ดื่มน้ำวันละประมาณ 6-8 แก้ว หรือประมาณ 1.5-2 ลิตร ก็จะมีการปัสสาวะเฉลี่ยทั้งวัน 6-8 ครั้ง ทั้งนี้ นอกจากจำนวนครั้งของการปัสสาวะแล้ว ยังมีลักษณะของการปัสสาวะต่างๆ ที่แสดงถึงความปกติ ได้แก่
- ปริมาณปัสสาวะต่อครั้งประมาณ 200-350 ซีซี
- ขณะที่ปัสสาวะ จะต้องไหลสะดวก ไม่ต้องเบ่ง
- เมื่อปวดปัสสาวะ ไม่ต้องรีบ กลั้นได้ และจะปัสสาวะก็ต่อเมื่อถึงห้องน้ำ
- ไม่ตื่นปัสสาวะตอนกลางคืน
...
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีหลายชนิด ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้
ปัสสาวะเล็ด คือ การที่มีปัสสาวะไหลออกมาโดยที่ไม่ตั้งใจ โดยปัสสาวะจะเล็ดออกมา เมื่อมีแรงเบ่งในช่องท้อง เช่น ไอ จาม วิ่ง หัวเราะ ซึ่งปัสสาวะที่ไหลออกมาจะมีปริมาณไม่มากนัก
ปัสสาวะราด คือ เมื่อปวดปัสสาวะ จะต้องรีบไปที่ห้องน้ำทันที ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะไว้ได้ ปัสสาวะอาจจะราดออกมาก่อนหรือขณะที่ถึงห้องน้ำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราเรียกว่า ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
ปัสสาวะไหลท้น คือ การที่มีน้ำค้างในกระเพาะปัสสาวะมากเกินไป ส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะต้านทานแรงดันภายในกระเพาะปัสสาวะไม่ได้ จึงทำให้ปัสสาวะไหลล้นออกมา
ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะปัสสาวะเล็ดและปัสสาวะราดเท่านั้น
สาเหตุของปัสสาวะเล็ด
สาเหตุของปัสสาวะเล็ด แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง และกล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถต้านแรงเบ่งในช่องท้องได้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- อายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อต่างๆ ก็จะอ่อนแรงลง รวมถึงกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- ภาวะหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายขาดหมดฮอร์โมนเอสโตรเจน เนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอด ท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะฝ่อบางลงและไม่แข็งแรงเท่าเดิม
- การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร การตั้งครรภ์จะทำให้มีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานมีการยืดขยาย ส่วนการคลอดบุตรทางช่องคลอด จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานยืดขยายมากขึ้น รวมถึงมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในระหว่างการคลอด ทำให้มีความแข็งแรงลดลง
- ภาวะน้ำหนักเกิน ท้องผูกหรือไอเรื้อรัง จะทำให้มีแรงดันในช่องท้องตลอดเวลา ส่งผลให้กล้ามเนื้อหย่อนลง
สาเหตุของปัสสาวะราด
ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะปัสสาวะราด แต่อาการที่เป็นนั้น เกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวขึ้นมาทันที ทำให้ต้องรีบไปที่ห้องน้ำ ไม่เช่นนั้นก็จะปัสสาวะราดตรงนั้น ทั้งนี้ มีปัจจัยที่กระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากขึ้น ได้แก่ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ ดื่มน้ำมากเกินไป เป็นโรคทางระบบไขสันหลัง การกินยาบางชนิดที่เพิ่มการขับปัสสาวะ เช่น ยาขับปัสสาวะที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
อุบัติการณ์ของโรค
พบร้อยละ 20-55 ของประชากรทั่วไป โดยจะพบมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงมีความยาวของท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย และมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การตั้งครรภ์ ภาวะหมดประจำเดือนดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
...
ผลกระทบของปัสสาวะเล็ดราด
ด้านร่างกาย
เมื่อปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ก็ต้องรีบไปวิ่งเข้าห้องน้ำ อาจเกิดการหกล้มได้
การตื่นมาปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ทำให้นอนหลับไม่สนิท และทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
ด้านจิตใจและสังคม
กลายเป็นคนวิตกกังวล ไม่กล้าออกไปไหน แยกตัว ซึมเศร้า
ส่วนใหญ่ผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดราด มักไม่ค่อยมาพบแพทย์ เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมาก ใครๆ ก็เป็น รักษาไม่ได้ แต่หากมาพบแพทย์ก็จะมีการวางแผนการรักษา เพื่อให้อาการลดลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การรักษา มีดังนี้
1. ใส่แผ่นรองซับปัสสาวะ สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งปัสสาวะเล็ดและราด ซึ่งจะต้องคอยเปลี่ยนทุกๆ 2-4 ชั่วโมง ตามปริมาณปัสสาวะที่เล็ดราดออกมา เพื่อความสะอาด ลดความเปียกชื้น ป้องกันผิวหนังอักเสบระคายเคือง
2. ลดน้ำหนัก เหมาะสำหรับภาวะปัสสาวะเล็ดขณะไอจามในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
3. จำกัดปริมาณน้ำและเครื่องดื่ม เป็นวิธีที่ใช้สำหรับผู้ที่ต้องรีบไปห้องน้ำเมื่อปวดปัสสาวะ และปัสสาวะราด โดยจำกัดปริมาณน้ำไม่ให้เกิน 1.5 ลิตรต่อวัน ลดเครื่องดื่มที่กระตุ้นกระเพาะปัสสาวะ เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม น้ำผลไม้รสเปรี้ยว และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดดื่มน้ำก่อนนอน 2 ชั่วโมง เพื่อลดการตื่นปัสสาวะตอนกลางคืน
4. ฝึกกระเพาะปัสสาวะ เหมาะกับผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะราด โดยจะต้องบันทึกการถ่ายปัสสาวะ ทั้งระยะเวลาที่ไปเข้าห้องน้ำและปริมาณปัสสาวะ เพื่อปรับขยายเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำให้นานขึ้น โดยที่ไม่มีปัสสาวะราด เป็นการฝึกกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้เก็บน้ำปัสสาวะได้มากขึ้น เช่น ถ้าจากที่บันทึกต้องเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมง ให้เพิ่มเวลาอีก 5 นาที เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ ประมาณ 2-3 วัน จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มเวลาเป็น 10 นาที 15 นาที ปรับเวลาเพิ่มทุก 2-3 วัน จนกระทั่งขยายเวลาที่ต้องไปเข้าห้องน้ำได้เป็น 2-2.5 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สามารถเดินทางไปไหนมาได้ง่ายขึ้น
...
ทั้งนี้ ทุกครั้งที่ปวดปัสสาวะ ไม่ควรวิ่ง เพราะมักจะไปไม่ทันเสมอ และเสี่ยงต่อการหกล้ม ให้นั่งนิ่งๆ หายใจเข้าออกลึกๆ ขมิบช่องคลอด เมื่อขมิบไปสักพัก จะทำให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัวลง จากนั้นจึงค่อยๆ เดินไปห้องน้ำ เมื่อถึงห้องน้ำ ก็จะปัสสาวะได้ทันเวลาพอดี โดยไม่เล็ดราด
5. ฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา คือ เข้าห้องน้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันปัสสาวะเล็ดราด เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาหลงลืม หรือเดินช้า
6. ฝึกขมิบช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีหลักในการรักษาภาวะปัสสาวะเล็ด และเป็นวิธีรักษาร่วมสำหรับภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ซึ่งจะกล่าวอย่างละเอียดในบทความต่อไป
หากทำทุกข้อตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์ก็จะแนะนำวิธีการรักษาอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้ยา อุปกรณ์พยุงช่องคลอด เลเซอร์ เก้าอี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และการผ่าตัด ซึ่งจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป
ภาวะปัสสาวะเล็ดและปัสสาวะราด นับเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการดังที่กล่าวมา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา เพราะเป็นโรคที่รักษาได้ และไม่อันตรายใดๆ
...
@@@@@@
แหล่งข้อมูล
ผศ.พญ.รุจิรา วัฒนายิ่งเจริญชัย สาขาเวชศาสตร์เชิงกรานสตรีและศัลยกรรมซ่อมเสริม ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" เพิ่มเติม