- เชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดที่ติดเท่านั้น ดังนั้นเราจึงสามารถติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้ง
- วัคซีนป้องกันไวรัสไข้เลือดออก มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ ได้ 80.2% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 90.4% สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 – 60 ปี โดยไม่ต้องเจาะเลือดหาภูมิต้านทานก่อน
- วัคซีนมีความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่พบเป็นเพียงผลข้างเคียงทั่วไป เช่น อาการปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ โดยส่วนมากมักหายได้เองภายใน 1-3 วัน
ไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมี 4 สายพันธุ์
เชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์จะถูกเรียกว่าซีโรไทป์ (Serotype) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยส่วนใหญ่แล้วไข้เลือดออกเดงกีมักไม่มีอาการแสดง หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางรายอาจจะมีอาการรุนแรง จนถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ และเป็นโรคที่คาดเดาได้ยากว่าใครจะอาการรุนแรงหรือไม่รุนแรง
คนเราสามารถติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้ถึง 4 ครั้ง จริงหรือไม่?
เชื้อไวรัสไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์จะเกิดการแพร่ระบาดสลับหมุนเวียนกัน ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม พบว่าสายพันธุ์ที่ระบาดหลักในประเทศไทยนั้น เป็นสายพันธุ์ 1 และ 2 การแพร่ระบาดที่แตกต่างกันหลายสายพันธุ์ จึงเป็นผลให้คนเราอาจไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดนั้นๆ เพราะการติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกีแค่ชนิดที่ติดเท่านั้น แต่ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นอาจจะป้องกันสายพันธุ์อื่นๆ ได้ในชั่วคราว ทำให้ตลอดชีวิตของเราสามารถที่จะติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้งนั่นเอง
...
การติดเชื้อซ้ำอาจทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม
หากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ชนิดที่แตกต่างจากเดิม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแสดงอาการที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าการติดเชื้อซ้ำในครั้งที่ 2 จะเกิดการกระตุ้นภูมิต้านทานของการติดเชื้อในครั้งก่อน แต่เป็นภูมิต้านทานชนิดที่ไม่สามารถป้องกันโรคได้ และทำให้เชื้อไวรัสไข้เลือดออกสามารถกระจายตัวได้มากขึ้น ทำให้มีอาการรุนแรงได้มากขึ้น จึงเป็นผลให้การติดเชื้อในครั้งที่ 2 มีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม
ไข้เลือดออก ติดได้ ไม่เลือกคน
ยุงลาย คือพาหะนำโรคไข้เลือดออกเดงกี ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในสภาพอากาศอบอุ่น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือตามหมู่บ้าน หากมีคนอาศัยอยู่ ยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคก็สามารถเจริญเติบโตได้ ซึ่งหมายความว่าเราทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีได้ตลอดเวลา
ทำไมไข้เลือดออกเดงกีจึงเพิ่มมากขึ้น
ไข้เลือดออกเดงกีเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งแพร่กระจายได้เร็วที่สุดในโลก โดยพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 30 เท่าเมื่อเทียบกับ 50 ปีก่อน ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีเพิ่มมากขึ้นเพราะกิจกรรมของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น
ยุงลาย สามารถแพร่เชื้อไวรัสเดงกี เจริญเติบโตในเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ หมู่บ้าน และเมืองใหญ่ มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเอเชียและลาตินอเมริกา
ไข้เลือดออกเดงกีมักแพร่กระจายโดยยุงลาย Aedes aegypti ซึ่งต้องการอุณหภูมิที่อบอุ่นในการดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ แต่ยุงลาย Aedes albopictus ก็สามารถแพร่เชื้อไข้เลือดออกเดงกีได้เช่นกัน ยุงชนิดนี้สามารถอยู่รอดในอากาศที่เย็นกว่า และแพร่เชื้อไข้เลือดออกเดงกีไปยังพื้นที่ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป
การเป็นชุมชนเมืองที่ประชากรอยู่อาศัยกันหนาแน่น มักทำให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยุงสามารถกัดคนและแพร่เชื้อได้มากขึ้น นักท่องเที่ยวที่ติดเชื้อ สามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสเดงกีได้ไกลและกว้าง การเคลื่อนย้ายของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นจากอดีต การเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ทำให้ไข้เลือดออกเดงกีแพร่กระจาย เร็วขึ้น และไกลขึ้น ไข้เลือดออกเดงกีเป็นสาเหตุที่พบบ่อยเป็นอันดับสองรองจากมาลาเรียที่ทำให้เป็นไข้ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ป่วย
ไข่ยุงและลูกน้ำยุง สามารถเดินทางได้เช่นกัน โดยมักจะติดไปกับสินค้าที่สามารถเก็บกักน้ำ และถูกขนส่งระหว่างประเทศ เช่น ยางรถยนต์เก่า และภาชนะน้ำขัง เมื่ออุณหภูมิทั่วโลกสูงขึ้น สภาพความชื้นและความอบอุ่นที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของยุงก็เพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ยุงมีที่อาศัยใหม่เพิ่มขึ้น
การระบาดของไข้เลือดออกในประเทศไทย
- สถานการณ์ไข้เลือดออกในปีระบาดหนัก สูงสุดในรอบ 5 ปี พบผู้ป่วยแล้วกว่า 54,000 ราย พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึงสัปดาห์ละ 7,000 ราย เสียชีวิตแล้ว 44 ศพ ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว (2022) ถึง 3 เท่า
- เคยป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้วยังป่วยได้อีก และอาจเสี่ยงต่ออาการที่รุนแรงมากขึ้น แม้การป่วยครั้งแรกจะไม่แสดงอาการก็ตาม
- ไข้เลือดออกคาดเดาความรุนแรงของโรคได้ยาก ไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าคนแข็งแรงดี หรือมีโรคประจำตัวก็มีโอกาสเป็นไข้เลือดออกรุนแรงได้เหมือนกัน
...
อาการของไข้เลือดออกเดงกี เทียบกับอาการของโรคอื่น
โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคชิคุนกุนยา โรคมาลาเรีย โรคไข้ซิก้า หรือโรคอื่นๆ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น หวัด หรือแม้กระทั่งโรคโควิด-19 อาจทำให้เราเกิดความสับสนเกี่ยวกับอาการของโรคได้
โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคชิคุนกุนยา โรคไข้ซิก้า เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มียุงชนิดเดียวกันเป็นพาหะ ซึ่งมักจะกัดเราในเวลากลางวัน ในขณะที่โรคมาลาเรียเองก็มียุงเป็นพาหะ แต่เกิดจากเชื้อปรสิต ซึ่งโรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นมากมาย รวมไปถึงอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดข้อ ซึ่งไข้หวัดและโรคโควิด-19 ก็อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาการอื่นๆ ของโรคโควิด-19 ก็มีความแตกต่างออกไปจากการติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกี นั่นก็คือ อาการไอ หายใจหอบ สูญเสียการรับรู้รสหรือกลิ่น เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล และท้องเสีย และที่สำคัญคือ ยุงไม่ใช่พาหะนำโรคที่ก่อให้เกิดหวัด หรือโรคโควิด-19 หากแต่เกิดจากการสัมผัสบุคคลที่มีเชื้อไวรัส
ไข้เลือดออก ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
- วัคซีนไข้เลือดออก ชนิดใหม่ ผลิตจากประเทศเยอรมนี สามารถฉีดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ที่มีอายุระหว่าง 4-60 ปี
- วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ ได้ 80.2% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 90.4%
- ฉีดง่ายสะดวก เพียงแค่ 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน โดยสามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยไม่ต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด
- วัคซีนมีความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่พบเป็นเพียงผลข้างเคียงทั่วไป ได้แก่ อาการปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ โดยส่วนมากมักหายได้เองภายในเวลา 1-3 วัน
...
Q&A คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ ครอบคลุม 4 สายพันธุ์
Q1: วัคซีนไข้เลือดออก ชนิดใหม่ สามารถฉีดในคนอายุเท่าไร ต้องฉีดกี่เข็ม ห่างกันกี่เดือน
A1: วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ สามารถฉีดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ที่มีอายุระหว่าง 4-60 ปี โดยฉีดแค่เพียง 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
Q2: มาฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ก่อน 3 เดือนได้หรือไม่
A2: ไม่แนะนำการฉีดวัคซีนก่อนครบ 3 เดือน เนื่องจากมีจากการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจะสูงที่สุดเมื่อเว้นระยะห่างระหว่างเข็ม ที่ระยะเวลา 3 เดือน หากจำเป็นต้องเลื่อนการฉีดวัคซีน ควรเลื่อนให้ห่างกันเกิน 3 เดือน โดยไม่ต้องเริ่มเข็มแรกใหม่ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้มาฉีดเข็มที่ 2 ตามเวลาที่แพทย์นัด เพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพในการปกป้องกันโรคไข้เลือดออกจากวัคซีนที่สูงที่สุด18
Q3: วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ ฉีดแล้วป้องกันได้กี่เปอร์เซ็นต์
A3: ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าไม่มีวัคซีนใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้ 100% หลังจากฉีดครบโดสแล้วก็ยังคงสามารถติดเชื้อได้ แต่ถ้าเป็นหรือติดเชื้อ ก็สามารถลดอัตราการนอนโรงพยาบาล หรือความรุนแรงของโรคได้ เหมือนกับที่เราคุ้นชินกับวัคซีนชนิดตัวอื่นๆ เช่น วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 หรือ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
โดยวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ได้ 80.2% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 90.4% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขประสิทธิภาพที่สูง
Q4: วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ แตกต่างจากวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกชนิดก่อนอย่างไร
...
A4: เนื่องจากวัคซีนไข้ป้องกันไข้เลือดออกทั้ง 2 ชนิด มีโครงสร้างของวัคซีน กระบวนการผลิตและหลักการในการผลิตของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกัน จึงอาจส่งผลต่อ ข้อบ่งใช้ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัยของวัคซีน รวมไปถึงจำนวนเข็มและระยะห่างของการฉีดวัคซีนแต่ละเข็มที่แตกต่างกัน
โดยวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมี 2 ชนิด ได้แก่
ชนิดที่ 1: วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดเดิม ผลิตที่ประเทศฝรั่งเศส ใช้ในผู้ที่มีอายุ 6-45 ปี สามารถฉีดได้เฉพาะคนที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนเท่านั้น หากไม่มีประวัติการติดเชื้อยืนยัน ต้องทำการตรวจเลือดก่อนการฉีดวัคซีน ฉีด 3 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน (ที่เดือน 0, 6 และ 12)
ชนิดที่ 2: วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ ผลิตที่ประเทศเยอรมนี ใช้ในผู้ที่มีอายุ 4-60 ปี สามารถฉีดได้ทั้งในคนที่เคยและไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน กล่าวคือ ทุกคนสามารถฉีดได้โดยไม่ต้องทำการตรวจเลือดก่อนการฉีดวัคซีน ฉีดเพียง 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน (ที่เดือน 0 และ 3)
Q5: เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว ยังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกไหม
A5: ยังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เนื่องจากโรคไข้เลือดออกสามารถติดซ้ำได้หลายครั้ง เพราะไวรัสเดงกีที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออกมีถึง 4 สายพันธุ์ การติดสายพันธุ์หนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้เฉพาะสายพันธุ์นั้นๆ และจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นๆ ได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
อีกทั้งยังพบว่า การติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรครุนแรงได้ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกจึงเป็นการลดโอกาสในการติดเชื้อ ลดโอกาสในการนอนโรงพยาบาล และลดโอกาสการเป็นโรครุนแรง
Q6: หลังจากหายจากโรคไข้เลือดออกแล้ว สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกได้ทันทีเลยหรือไม่
A6: แนะนำให้ผู้ที่หายจากไข้เลือดออกแล้ว เว้นระยะห่างอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนมารับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เนื่องจากหลังจากติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค ซึ่งจะลดน้อยลงตามเวลาผ่านไป การฉีดวัคซีนในช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคสูง อาจลดประสิทธิภาพของวัคซีนได้
Q7: วัคซีนมีความปลอดภัยแค่ไหน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้มีอะไรบ้าง
A7: วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิดใหม่ มีความปลอดภัย โดยได้มีการติดตามประชากรในงานวิจัยมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีคนไทยเข้าร่วมการศึกษาด้วย รวมถึงมีการใช้แล้วในหลายประเทศทั่วโลก ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงผลข้างเคียงทั่วไป ได้แก่ อาการปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ โดยส่วนมากมักหายได้เอง ภายในเวลา 1-3 วัน
Q8: ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
A8: เนื่องจากโรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่ระบาดอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 65 ปี โดยมักระบาดหนักในสังคมเมือง เมืองใหญ่ๆ เนื่องจากมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น แม้ไข้เลือดออกจะไม่ติดต่อทางการสัมผัสโดยตรงแบบโรคโควิด-19 ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการใส่หน้ากากอนามัย และการฉีดวัคซีน แต่โรคไข้เลือดออกไม่สามารถป้องกันโรคโดยการใส่หน้ากากอนามัยได้ เพราะโรคนั้นติดต่อผ่านยุงลายที่เป็นพาหะที่มีเชื้อไข้เลือดออก หากยุงลายกัดคนที่มีเชื้อไข้เลือดออกแม้ไม่แสดงอาการ และมากัดเราต่อก็สามารถส่งต่อเชื้อได้ การป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัดตลอดเวลานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก การป้องกันไข้เลือดออกโดยการฉีดวัคซีน จึงเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
โรคไข้เลือดออกสามารถติดได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอายุ พบว่าไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงในการเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรงได้เหมือนกัน ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีการระบาด คือ ประเทศไทย จึงควรได้รับวัคซีนในการป้องกันตนเองจากโรคนี้
Q9: คนกลุ่มใดบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น และจำเป็นต้องรับวัคซีนอย่างเร่งด่วน
A9: อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า โรคไข้เลือดออกสามารถติดได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอายุ จะเห็นว่าไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงในการเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรงได้เหมือนกัน แต่หากพูดถึงกลุ่มเปราะบางที่อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นไข้เลือดออกรุนแรงกว่ากลุ่มอื่นนั้นใกล้เคียงกับกลุ่มเปราะบางของโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- กลุ่มคนอ้วน
- กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคธาลัสซีเมีย โรคเลือด โรคไต เป็นต้น
- กลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากกลุ่มนี้อาจจะมีภูมิต้านทานต่ำ และมีโรคประจำตัวร่วมหลายโรค
Q10: ข้อห้ามใช้ของวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
A10: เนื่องจากวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น ข้อห้ามการฉีดวัคซีน จึงเป็นเหมือนข้อห้ามทั่วไปของการฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอื่นๆ ได้แก่
- มีภาวะภูมิไวเกินต่อตัวยาสำคัญ หรือสารเพิ่มปริมาณยาชนิดใดๆ หรือมีภาวะภูมิไวเกินต่อวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่ฉีดไปก่อนหน้านี้
- ผู้ที่มีภาวะการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันผ่านเซลล์บกพร่องมาแต่กำเนิดหรือในภายหลัง รวมถึงผู้ที่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยการกดภูมิคุ้มกัน เช่น ได้รับเคมีบำบัด หรือ คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดออกฤทธิ์ทั่วร่างกายที่ขนาดยาสูง ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ ก่อนการได้รับวัคซีน
- ผู้ที่มีการติดเชื้อเอชไอวีแบบแสดงอาการ หรือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีแบบไม่แสดงอาการที่มีหลักฐานแสดงถึงการทำงานของภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- หญิงตั้งครรภ์
- หญิงให้นมบุตร
Q11: ถ้าฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกชนิดเดิมมาครบแล้ว จำเป็นต้องฉีดชนิดใหม่อีกหรือไม่
A10: ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลการฉีดวัคซีนชนิดใหม่ต่อจากวัคซีนชนิดเดิมในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนไข้เลือดออกตัวเดิมมาก่อนและได้ไม่ครบ และยังไม่มีข้อมูลในการฉีดวัคซีนวัคซีนไข้เลือดออกชนิดใหม่เพิ่มเติมในผู้ที่เคยฉีดวัคซีนชนิดเดิมมาครบแล้ว
บทความโดย พญ. พเยีย ฉันทาดิศัย อายุรแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ รพ.สมิติเวช
ภาพ : istock,gettyimage