หลังจากที่ รูเมอร์ วิลลิส (Rumer Willis) ลูกสาวของบรูซ วิลลิส ได้ออกมาประกาศก่อนหน้านี้ว่า พ่อของเธอ บรูซ วิลลิส เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลเอมมีส์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคทศวรรษที่ 1980 จากซีรีส์โทรทัศน์ “Moonlighting” และฝากผลงานในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาในภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง ไม่ว่า จะเป็น “Die Hard”, “Pulp Fiction” และ “The Sixth Sense” ตรวจพบโรคทางระบบประสาทที่เรียกว่า โรคอะเฟ เซีย (Aphasia) คือภาวะสูญเสียการสื่อความ ทำให้ต้องยุติบทบาทอาชีพของนักแสดง เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2565 ขณะที่หลายคนมีความหวังว่าบรูซอาจจะกลับมาแสดงภาพยนตร์ได้อีก หากได้รับการรักษาจนหายดี

แต่ดูเหมือนว่าความหวังที่นักแสดงระดับตำนานวัย 68 ปี จะกลับมาแสดงภาพยนตร์ได้อีกคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เมื่อเว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ เกลนน์ กอร์ดอน คารอน (Glenn Gordon Caron) ผู้สร้างซิทคอมเรื่อง Moonlighting ที่บรูซเคยแสดงไว้ก่อนมีอาการป่วย และจะกำลังออนแอร์ทาง Hulu ออกมาเปิดเผยหลังการเข้าเยี่ยมบรูซว่า บรูซ ซึ่งเคยเป็นดาราระดับลูกโลกทองคำ ไม่สามารถสื่อสารใดๆได้แล้ว โดยเขาไม่เหลือทักษะด้านภาษาต่างๆเลย แต่อย่างไรก็ตาม ในการพบกัน คารอนเชื่อว่าบรูซมีความสุขมากที่รับรู้ว่าซิทคอมที่เขาแสดงกำลังจะออกฉาย แม้ว่าจะไม่สามารถพูดออกมาได้ก็ตาม

...

สำหรับ บรูซ วิลลิส Bruce Willis ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองส่วนหน้าเสื่อม Frontotemporal Dementia (FTD) ทำให้หลายคนอยากรู้ถึงอาการและการเกิดโรคนี้

โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม (Frontotemporal dementia) เป็นโรคที่มีการฝ่อของสมองส่วนที่อยู่ด้านหน้า โดยประกอบไปด้วยสมองกลีบหน้า (frontal lobe) และสมองกลีบข้างส่วนหน้า (anterior temporal lobe) มีการเสื่อมถอยลงไป โดยแตกต่างจากโรคอัลไซเมอร์ที่มักจะมีการฝ่อที่สมองด้านหลัง

สาเหตุการฝ่อของสมองส่วนหน้าเกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง โดยอาจจะมีการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติมากเกิน ไปหรือกลไกของร่างกายกำจัดได้ไม่ทัน จนทำให้เซลล์สมองเสียหายจนเกิดสมองฝ่อตามมา

โรคสมองส่วน หน้าเสื่อม พบน้อยกว่าโรคอัลไซเมอร์ ส่วนมากอยู่ในช่วงอายุประมาณ 45-65 ปี พบได้ในสัดส่วนใกล้กันระหว่างเพศชายและหญิง โดยยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด โรคนี้แบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก คือ ชนิดปัญหาพฤติกรรมเด่น จะเด่นที่ปัญหาด้านพฤติ กรรม การไม่สามารถยับยั้งชั่งใจควบคุมตนเองได้ แสดงออกทางพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ มีพฤติกรรมทำอะไรซ้ำๆ ไม่มีจุดหมาย และสูญเสียความสามารถในการวางแผนการทำงาน และ ชนิดปัญหาด้านการใช้ภาษาเด่น จะเด่นที่ปัญหาในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ผู้ป่วยจะมีปัญหานึกคำพูดไม่ออก อาจพูดติดขัดตะกุกตะกัก หรืออาจถึงขั้นสูญเสียความรู้ ความหมายของคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยแบ่งกลุ่มอาการออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ความผิดปกติด้านการสั่งการด้วยภาษา เช่น พูดไม่ออก สะกดคำผิด เขียนไม่ได้ เขียนไม่เป็นคำ เรียกชื่อสิ่งของไม่ถูก 2.ความผิดปกติด้านความเข้าใจภาษา เช่น ฟังไม่เข้าใจ อ่านไม่เข้าใจ และ 3.ผู้ป่วยบางรายมีความผิดปกติทั้งด้านการสั่งการด้วยภาษาและความเข้าใจภาษา ทำให้มีลักษณะเงียบ เฉยเมย ไม่พูด และไม่เข้าใจภาษา

เมื่อตัวโรคดำเนินไป สุดท้ายจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าสังคม และการทำงานเป็นอย่างมาก อาจถึงขั้นไม่สามารถพูดคุยสื่อสารทำความเข้าใจได้เลย ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และโดยเฉลี่ยอาจเสียชีวิตในเวลาประมาณ 7-8 ปี

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา ให้ข้อมูลว่า สาเหตุของการเกิดโรคมีหลายสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บที่สมองที่ควบคุมความสามารถด้านภาษา โรคหลอดเลือดสมอง สมองอักเสบ เนื้องอกในระบบประสาท สมองเสื่อม เป็นต้น ซึ่งสาเหตุจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย แนวทางการป้องกันและการรักษาจึงขึ้นกับสาเหตุของโรคที่เป็น ในรายที่สามารถฟื้นฟูได้ เช่น เกิดจากอุบัติเหตุ หรือจากโรคหลอดเลือดสมอง หากอาการไม่รุนแรงมากสามารถทำการบำบัดให้อาการดีขึ้นหรือทุเลาลงได้ด้วยการทำอรรถบำบัด ฝึกการพูด แต่หากเป็นสาเหตุจากสมองเสื่อม เช่น โรคสมองส่วนหน้าเสื่อม (Frontotemporal dementia) ส่วนใหญ่แล้ว อาการจะค่อยๆแย่ลง การดูแลรักษาจะเป็นการประคับประคองมากกว่า เพราะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้.

...

คลิกอ่านคอลัมน์ "สมาร์ทไลฟ์" เพิ่มเติม