“โรคมาลาเรีย” มีชื่อเรียกหลายอย่างในประเทศไทย ได้แก่ ไข้ป่า ไข้จับสั่น ไข้ป้าง ไข้ร้อนเย็น และไข้ดอกสัก โรคมาลาเรียเป็นโรคที่เกิดจากปรสิตในกลุ่มพลาสโมเดียม ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งคนเราสามารถรับเชื้อได้จากยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมากัด พอเชื้อเข้าไปในร่างกาย มักจะไปที่ตับเพื่อเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น และกระจายออกมาที่เส้นเลือด เชื้อมาลาเรียนี้มักจะอยู่ในเม็ดเลือดแดง เมื่อเติบโตขึ้นจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก และเกิดอาการต่างๆ เช่น ไข้ หลังจากนั้นตัวเชื้อจะไปติดเม็ดเลือดแดงที่อยู่ใกล้กันต่อไป หากไม่ได้รับการรักษา อาจมีอันตราย บางรายถึงกับชีวิตได้
อุบัติการณ์ของโรค
องค์การอนามัยโลกประมาณว่าในปี พ.ศ. 2564 มีผู้ติดเชื้อมาลาเรีย 247 ล้านคนทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตกว่า 6 แสนราย ถือว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่ กว่าร้อยละ 95 ทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมักอยู่ในทวีปแอฟริกา
ใครบ้างคือกลุ่มเสี่ยง
ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโรคทั้งหมดที่มีความเสี่ยงต่อมาลาเรีย โรคมาลาเรียมักพบในบริเวณที่มีป่าทึบ ส่วนในประเทศไทย มักพบบริเวณชายแดน เช่น ชายแดนพม่า ลาว กัมพูชา หรือมาเลเซีย โดยเฉพาะบริเวณที่มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงมาก ผู้ที่เป็นโรคมาลาเรียส่วนใหญ่มักมีการเดินทางเข้าไปในแหล่งระบาด โดยไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสม เช่น ไม่ได้ทายากันยุง ไม่ได้นอนกางมุ้ง หรือไม่ได้กินยาป้องกันมาลาเรีย
ระยะฟักตัว
หลังจากยุงกัด อาจเริ่มมีอาการเริ่มแรกได้ในระหว่าง 7-30 วัน
อาการและอาการแสดง
อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการไข้ ซึ่งมักจะมีไข้สูงบางเวลา ขึ้นกับสายพันธุ์ของปรสิตพลาสโมเดียม บางชนิด อาจมีไข้วันเว้นวัน บางชนิดมีไข้วัน เว้น 2 วัน เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งซึ่งจะทำให้คาดการณ์ได้ว่าน่าจะติดเชื้อสายพันธุ์ใด เวลาที่มีไข้ มักจะเป็นเวลาที่เม็ดเลือดแดงแตกในแต่ละรอบ และปล่อยสารที่ทำให้เกิดไข้ออกมา มักร่วมกับอาการหนาวสั่น ฟันกระทบกัน รู้สึกไม่สบายตัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน บางรายมักมีปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว และไอ
...
ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง อาจมีความรู้สึกตัวที่เปลี่ยนแปลง เช่น ซึมลง อาจมีอาการชัก หายใจลำบาก ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม หรืออาจมีเลือดออกได้
การวินิจฉัย
มีหลายวิธี ได้แก่ การเจาะเลือดเพื่อดูผ่านกล้องจุลทรรศน์ การเจาะเลือดปลายนิ้วแล้วใช้ชุดตรวจเร็วที่ทราบผลภายในไม่เกิน 10-30 นาที และการตรวจโดยวิเคราะห์หาสารพันธุกรรม
การรักษา
มียารักษามาลาเรียหลายขนาน ขึ้นกับชนิดของมาลาเรีย มาลาเรียดื้อยาหรือไม่ อายุและน้ำหนักของผู้ป่วย ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรือไม่ เป็นต้น
ยาที่นิยมใช้ ได้แก่ ยาผสมสูตรที่มีอาร์ทีเมสซินีนเป็นหลัก ยาพรีมาควีน ยาคลอโรควีน
ยารักษามาลาเรีย มีทั้งยาฉีด ยากินและยาเหน็บทวาร โดยหลักการ หากเป็นอย่างรุนแรงมักให้ยาฉีดก่อน พอดีขึ้นหรือสามารถกินยาได้มักจะเปลี่ยนเป็นยากิน ส่วนยาเหน็บทวารไม่ได้ใช้บ่อย แต่อาจมีความจำเป็นต้องใช้ในเด็กที่ไม่รู้สึกตัว ฉีดหรือกินยาไม่ได้
การป้องกัน
การป้องกันหลัก คือ การหลีกเลี่ยงยุงกัด โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น บริเวณที่มีน้ำขัง ฉีดยากันยุงที่แหล่งเพาะพันธุ์
ใช้ยาทากันยุง ใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาว ที่ปิดมิดชิด สะอาด หรืออาจเคลือบยากันยุงในเสื้อผ้า เวลานอนควรกางมุ้ง หรือใช้มุ้งลวดในห้องนอน
การกินยาป้องกันมาลาเรีย ที่เรียกว่า Preventive chemoprophylaxis คือการใช้ยาร่วมกับมาตรการข้างต้น เพื่อให้มั่นใจว่า หากยุงที่มีเชื้อมาลาเรียมากัด ร่างกายที่มียาป้องกันอยู่จะทำให้เชื้อเข้ามาในร่างกายแล้วถูกทำลายไปก่อนที่จะมาแบ่งตัวที่ตับและเม็ดเลือดแดง ทำให้ไม่มีอาการ หรือหากมีก็น้อย และไม่รุนแรง
มีวัคซีนหรือไม่ ?
วัคซีนมาลาเรีย มีการพัฒนามาระยะหนึ่ง เป็นวัคซีนใหม่ที่มีมาในช่วงทศวรรษนี้
วัคซีน RTS, S/AS01 เริ่มมีการใช้อย่างแพร่หลายเพื่อป้องกันเด็กในประเทศในแถบแอฟริกาที่เป็นแหล่งระบาดหลักดังกล่าวข้างต้น โดยเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2564 พบว่า ทำให้ลดอุบัติการณ์มาลาเรียและโรคที่รุนแรงจนเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน แต่ยังไม่ค่อยนิยมใช้ในประเทศไทยนัก
หากสงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคมาลาเรีย หรือมีความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคมาลาเรีย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมต่อไป
@@@@@@
แหล่งข้อมูล
อ.พญ.รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อ่านคอลัมน์ "ศุกร์สุขภาพ" เพิ่มเติม