“ภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่” เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดทางศีรษะและใบหน้าอย่างหนึ่งที่พบบ่อยที่สุด โดยอุบัติการณ์พบคนไข้เป็นโรค 1 คนต่อเด็กเกิดรอด 600-1,000 คน ซึ่งจึงนับว่าเป็นโรคที่สามารถพบได้เรื่อยๆ
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคนี้เกิดจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ไม่ได้มีปัจจัย หรือสาเหตุใดชัดเจน ซึ่งปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ พันธุกรรม ประวัติครอบครัว ซึ่งทำให้เด็กที่เกิดมาก็มีโอกาสจะเป็นโรคนี้มากขึ้น ร่วมกับประวัติของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ เช่น การกินยากันชักบางตัว หรือสารเคมีบางอย่าง และการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์
การวินิจฉัย ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
คนไข้จะมาด้วยริมฝีปากมีรอยแหว่งไม่ครบวง และถ้าตรวจดูเพดานด้านในก็จะพบว่ามีรอยแยก จึงเรียกภาวะนี้ว่า “ปากแหว่ง เพดานโหว่” ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดร่วมกันประมาณ 70% และจะมีเป็นส่วนน้อยที่พบปากแหว่งเพียงอย่างเดียว เพดานไม่โหว่ หรือเพดานโหว่เพียงอย่างเดียว ปากไม่แหว่งก็มีบ้าง
อันตรายและภาวะแทรกซ้อน ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
“ภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่” เป็นภาวะที่ไม่ได้มีอันตรายรุนแรงต่อสุขภาพโดยรวมด้านอื่นๆ ของกับคนไข้แต่อย่างใด ยกเว้นในกรณีที่โรคปากแหว่ง เพดานโหว่ไปเกิดร่วมกับโรคความพิการแต่กำเนิดโรคอื่นที่มีความรุนแรงมากกว่า เช่น เกิดร่วมกับภาวะความผิดปกติทางกะโหลกศีรษะ และใบหน้าอื่นๆ ที่มีความรุนแรงมากกว่า หรือเกิดร่วมกับกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติหลายระบบร่วมกันเกิดกับ เช่น โรคหัวใจ ภาวะกระดูกไขสันหลังผิดปกติ ก็อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงอันตรายเพิ่มมากขึ้น
ในระยะแรกของการรักษาหลังทารกเกิด มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ แต่จะต้องดูเรื่องการหายใจ และการกินนมของเด็กว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งแพทย์และผู้ดูแลจะต้องเพิ่มรายละเอียดในการดูแลตรงนี้มากขึ้น
...
ปัญหาที่เกิดจากโรคนี้ คือ ปัญหาด้านความสวยงามของใบหน้า ความหล่อของเด็ก และปัญหาทางระบบอวัยวะต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ จากตัวโรค ยกตัวอย่างเช่น ถ้าปากแหว่ง ก็จะทำให้ดูดนมได้ช้า เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างแรงดูดได้ดี เนื่องจากปากมีรอยแหว่ง กล้ามเนื้อรอบปากไม่ครบวง ส่วนเรื่องเพดานโหว่ก็จะมีปัญหาในเรื่องของการพูด พูดแล้วเสียงขึ้นจมูก นอกจากนี้ก็จะมีปัญหาเรื่องของการได้ยิน เนื่องจากเพราะปากแหว่ง เพดานโหว่ มักจะมีปัญหาในเรื่องของหูชั้นกลางที่พบร่วมด้วย ส่งผลให้ได้ยินน้อยลง และสุดท้าย คือ มีปัญหาเรื่องของเหงือกและฟัน เนื่องจากตัวเหงือกจะมีรอยแยก มีการขาดหายไปของซี่ฟันที่อยู่ในรอยแยก หรือฟันที่ขึ้นมาก็จะซ้อนเก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็จะต้องได้รับการรักษากันต่อไปแบบองค์รวม โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ

การรักษา ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
ปัญหาของภาวะปากแหว่งเพดานโหว่นั้นมีมากกว่าที่เห็นจากภายนอก ดังนั้นการรักษาจะเป็นการรักษาตั้งแต่หลังจากที่เด็กเกิดใหม่ๆ และติดตามไปเรื่อยๆ จนคนไข้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตั้งแต่ 18-20 ปีขึ้นไป ดังนั้นการรักษาจึงค่อนข้างยาก ประกอบด้วยการผ่าตัดหลายครั้ง และมีการติดตามผลการรักษาไปเรื่อยๆ ตามวัย และซึ่งการผ่าตัดแต่ละครั้งก็จะแก้ปัญหาในแต่ละจุดคร่าวๆ ดังนี้
• การรักษาด้วยการผ่าตัดโดยการเย็บซ่อมริมฝีปากที่แหว่ง ก็เริ่มตั้งแต่อายุ 03-5 เดือน
• หลังจากนั้นจะเป็นการเย็บซ่อมเพดานโหว่ อายุตั้งแต่ 1-1.5 ขวบ เมื่อเด็กเริ่มพูด ก็จะเริ่มรักษาเพดานโหว่
• พอเด็กเริ่มเข้าวัยเรียน ชั้นประถม อาจจะมีการแก้ไขแผลเป็นจากการผ่าตัดครั้งแรก หรือปรับรูปร่างจมูกให้ดีขึ้น ให้สวยงามขึ้น เพื่อป้องกันการล้อเลียน หรือการพูดถึงจากกลุ่มเพื่อนหรือสังคม
• ในวัยเรียน ก็อาจจะมีการผ่าตัดแก้ไขเพดานปาก เรื่องการเพื่อแก้ไขการพูดให้ชัดขึ้น ในกรณีที่ผ่าตัดเพดานโหว่ไปแล้วยังพูดไม่ชัด ก็จะมีการแก้ไขครั้งที่ 2
• อายุ 9-10 ขวบ ก็จะเริ่มมีการจัดฟัน ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า สันเหงือกเป็นรอยแหว่งทำให้ฟันเก ไม่เป็นระเบียบ ทันตแพทย์ก็จะเริ่มจัดฟัน เริ่มมีเพื่อเป็นการเตรียมสำหรับการผ่าตัดเติมกระดูกในส่วนที่แหว่งไป เพื่อให้กระดูกของขากรรไกรบนเป็นชิ้นเดียวกัน ไม่มีรอยแหว่ง และทำให้ฟันขึ้นได้ตามปกติ
• อายุ 16-18 ปี ก็อาจจะมีการผ่าตัดเพื่อปรับรูปร่างใบหน้าให้สวยงามขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเลื่อนกระดูกขากรรไกร การผ่าตัดเสริมตกแต่งจมูก เพื่อให้สวยงามขึ้น
วัตถุประสงค์หลักของการผ่าตัดและการรักษาอื่นๆ เพื่อรักษาในภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ก็คือปรับให้รูปร่างใบหน้าหรือและการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้กลับมาปกติที่สุด เพื่อที่คนไข้จะสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างไม่มีปมด้อย และไม่ถูกล้อเลียน
การป้องกัน ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่
คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์ และกินยาบำรุงครรภ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะโฟลิก แอซิด ซึ่งค่อนข้างจะได้รับการยืนยันว่าช่วยป้องกันได้ แต่ก็แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ เกิดจากหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน
...
คำแนะนำเพิ่มเติมอื่นๆ
ถ้าตั้งครรภ์แล้วพบว่า ลูกเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ก็ไม่ต้องกังวลจนมากเกินไป เนื่องจากปัจจุบันเป็นโรคที่รักษาได้ และผลการรักษาค่อนข้างดี เด็กสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างปกติ สถาบันทางการแพทย์ หรือโรงพยาบาลที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และมีสมาคมโรคปากแหว่งเพดานโหว่ฯ คอยดูแลเรื่องนี้อยู่ ซึ่งจะมีการจัดประชุมวิชาการทุกปี มีการถ่ายทอดความรู้ให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศทุกปี เพื่อให้ตามภูมิภาคต่างๆ สามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างมีมาตรฐาน หรือถ้ามีความสงสัยหรือปัญหาใดๆ ก็สามารถมาตรวจได้ที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
@@@@@@@
แหล่งข้อมูล
อ. นพ.สรายุทธ ดำรงวงศ์ศิริ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งและแม็กซิโลเฟเชียล ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล