โรคไข้เลือดออก เป็นอีกโรคหนึ่งที่ไม่เคยหายไปจากประเทศไทย ส่วนหนึ่งเพราะไข้เลือดออกถือเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศเขตร้อน โดยมียุงลายเป็นพาหะ ขณะเดียวกันปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีนใดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อป้องกันโรคนี้ แพทย์ย้ำว่าไข้เลือดออกสามารถมีอาการที่รุนแรงและเกิดการแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะมองโรคไข้เลือดออกอย่างจริงจังกันมากขึ้น เพื่อป้องกัน และร่วมกันรับมือให้ดีที่สุด

พวกยุงลายร้ายกว่าที่คิด!

จากข้อมูลพบว่าในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา การระบาดของไข้เลือดออกในประเทศไทยมีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวเลขผู้ป่วยจากโรคนี้สูงถึง 350,000 ราย และในปี 2562 มีจำนวนผู้ป่วยพุ่งสูงกว่า 130,000 ราย นับเป็นตัวเลขที่น่ากังวลใจ และสามารถส่งผลต่อทั้งผู้คน ไปจนถึงระบบสาธารณสุขของประเทศได้ ไข้เลือดออกจึงเป็นโรคที่ไม่อาจนิ่งนอนใจได้เลย

พญ.ดารินทร์ อารีย์โชคชัย รองผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าโรคไข้เลือดออกเป็นหนึ่งในโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย (Neglected Tropical Diseases, NTD) ส่วนหนึ่งเพราะเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะยุโรป หรืออเมริกาเหนือ ที่มีความสามารถในการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพสูง

“โรคไข้เลือดออกถือว่าเป็นปัญหาหนึ่งของประเทศไทย ทุกปีเราจะพบผู้ป่วยจำนวนมากถึง 70,000 ราย และถ้าปีไหนมีการระบาดหนัก ตัวเลขผู้ป่วยก็อาจพุ่งสูงถึงหลักแสนราย อัตราการเสียชีวิตต่อปี 60-70 ราย และอาจมากถึง 100 รายในปีที่ระบาดหนัก ไข้เลือดออกพบได้ทุกจังหวัดของประเทศไทย เป็นโรคที่พบทั้งในตัวเมืองและชนบท ถือว่าเป็นโรคที่ควบคุมได้ยาก เนื่องจากแหล่งน้ำขังต่างๆ ทั้งในบ้าน และชุมชน กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายที่ดี แค่ฝนตกลงมาแล้วเกิดน้ำขังที่เศษขยะในแหล่งชุมชน เพียงเท่านี้ยุงลายก็สามารถวางไข่ได้แล้ว”

สอดคล้องกับกับสิ่งที่ ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก อาจารย์สาขาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าสิ่งที่ทำให้โรคไข้เลือดออกไม่หายไปจากประเทศไทย ไม่เพียงเพราะเป็นภูมิภาคที่เหมาะสมต่อการเพาะพันธุ์และเจริญเติบโตของยุงลายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีกหลายเหตุผลที่น่าสนใจ

“ประการหนึ่งที่น่าสนใจคือ ไข้เลือดออกเป็นโรคที่แปลกมาก ทุกครั้งที่ใครสักคนติดเชื้อ ก็ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นจะมีอาการเสมอไป นั่นเท่ากับว่าอาจจะมีคนที่ติดเชื้อไข้เลือดออกที่ไม่แสดงอาการจำนวนมาก คนที่ติดเชื้อแล้วแสดงอาการจะมีอยู่ประมาณ 20-30% ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการให้เห็น บางทีเราหลายคนก็อาจติดเชื้อครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ไม่มีอาการ แต่ผู้ที่ติดเชื้อทั้งที่มีและไม่มีอาการเหล่านี้จะแพร่เชื้อต่อไปเมื่อถูกยุงลายกัด ยุงลายจะเป็นพาหะที่นำเชื้อนั้นไปสู่คนที่ถูกกัดคนต่อไปได้ เชื้อไข้เลือดออกจึงแพร่ได้ง่ายขึ้น เหตุผลที่เราจัดการกับโรคไข้เลือดได้ยากก็เพราะมีการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการค่อนข้างมากนี่เอง และยุงบ้านเราชุม สิ่งที่ดีสุดในการปกป้องตัวเองจากโรคนี้ก็คือการป้องกันไม่ให้ยุงกัด รวมถึงช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุ่งลายให้ได้มากที่สุด จริงๆ เราก็ต้องใช้หลายตัวช่วยประกอบกัน และเราหวังว่าจะมีนวัตกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่มีประสิทธิภาพในอนาคตออกมา”

คนที่แข็งแรงที่สุด ไม่ใช่คนที่ปลอดภัยที่สุด

ศ.พญ.กุลกัญญา ยังเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจหนึ่งอีกว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีความซับซ้อนระดับหนึ่ง คนที่ดูเหมือนร่างกายแข็งแรงภายนอก จึงไม่ใช่คนที่จะปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออกที่รุนแรงมากที่สุด

“ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ประหลาดมาก หากมีการติดเชื้อซ้ำ การติดเชื้อครั้งที่ 2 มักจะรุนแรงกว่าครั้งแรก และหากไม่เคยติดเชื้อมาก่อนแล้วมารับวัคซีนไข้เลือดออก ก็จะเสมือนการติดเชื้อที่ 1 เกิดขึ้นแล้ว การติดเชื้อครั้งถัดไปก็จะเหมือนการติดเชื้อครั้งที่ 2 ที่อาจมีโอกาสรุนแรง วัคซีนไข้เลือดออกที่มีในปัจจุบันจึงเป็นวัคซีนที่ใช้ได้เฉพาะกับคนที่เคยติดเชื้อมาแล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อครั้งต่อไปมีความรุนแรง ความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งของโรคไข้เลือดออก คือคนที่แข็งแรงที่สุดจะเสี่ยงต่อโรครุนแรงมากที่สุด ในขณะที่คนที่แข็งแรงน้อยกว่ากลับเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงน้อยกว่า ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปก็จะมีระบบในการทำลายเชื้อไวรัส แต่ในกระบวนการทำลายเชื้อไวรัสของร่างกายไม่ได้มีผลต่อแค่ไวรัส แต่สามารถทำให้เกิดกระบวนการอักเสบกระทบต่อระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ด้วยจากปฏิกิริยาโต้ตอบในการฆ่าไวรัสนี้ เช่นทำให้เกิดช็อก เลือดออก โดยเฉพาะคนในช่วงอายุ 15-20 ปี ที่ระบบปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันสูง เหตุนี้คนที่แข็งแรงมากจึงเสี่ยงต่อไข้เลือดออกรุนแรงมากกว่า นอกจากนี้คนที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานมักมีความเสี่ยงต่อโรครุนแรงมากกว่าด้วย”

ศ.พญ.กุลกัญญา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในคนทั่วไปบางราย หากได้รับเชื้อไข้เลือดออกก็อาจจะสามารถหายเองได้ แต่ในคนไข้บางรายที่อาการหนักขึ้น เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง ปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ไม่อยากรับประทานอาหาร และอาเจียนมาก ซึม มือเท้าเย็น ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากคนไข้ที่อาการหนักมักจะพบภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ค่าตับสูง เสี่ยงต่อภาวะอวัยวะทำงานล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในเบื้องต้นการป้องกันตัวเองจากการถูกยุงลายกัดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่ง พญ.ดารินทร์ เน้นย้ำว่า ไม่เพียงต่อตัวเองเท่านั้น แต่เราทุกคนยังมีส่วนป้องกันคนที่รักและสังคมได้ ด้วยการให้ความใส่ใจเรื่องการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน อันถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน

นอกจากนี้วันนี้ยังมีเรื่องน่ายินดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจากการผนึกกำลังกันจากหลายภาคส่วน เพื่อเดินหน้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสังคมปลอดไข้เลือดออกด้วย โดยมีแผนงาน 5 ปี ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก Dengue-Zero ที่เป็นความร่วมมือกันจากภาคีเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชน 11 องค์กร อันได้แก่ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลแห่งประเทศไทย และบริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด

ทั้งนี้ได้วางกรอบการทำงานร่วมกัน โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการได้แก่ 1) ลดอัตราการเจ็บป่วยจากไข้เลือดออกลงให้ได้ร้อยละ 25 หรือให้ไม่เกิน 60,000 รายต่อปี 2) ลดอัตราการเสียชีวิตให้ต่ำกว่า 1 ต่อ 10,000 ราย และ 3) ควบคุมแหล่งลูกน้ำยุงลายในชุมชนให้ต่ำกว่า 5 หลังคาเรือน จากการสำรวจ 100 หลังคาเรือน

หากเป้าหมายการนำพาสังคมไทยสู่สังคมที่ปลอดไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้จริง ผลดีก็จะตกอยู่กับประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งเป็นอายุที่เสี่ยงสุด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การป้องกันตัวเอง การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และการเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อจัดการกับแหล่งลูกน้ำยุงลายก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญก่อนเสมอ เพราะโรคไข้เลือดออกยังเบาใจไม่ได้เช่นกัน

C-ANPROM/TH/DENV/0061: Jan 2022