เมื่อคนเรากินอาหารเข้าไปในร่างกายผ่านทางปาก หลอดอาหาร และลงไปสู่ “กระเพาะอาหาร” ซึ่งเป็นอวัยวะแรกที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร เพื่อส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้นหากกระเพาะอาหารของเราเกิดความผิดปกติ ก็จะส่งผลให้คนคนนั้นขาดอาหารและส่งผลเสียต่อร่างกายตามมา ซึ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารนั้นก็มีหลายโรคด้วยกัน แต่วันนี้จะพาไปรู้จัก “โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร” ซึ่งเป็นภัยเงียบอีกโรคที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม
“มะเร็งกระเพาะอาหาร” เป็นโรคมะเร็งที่เกิดในกระเพาะอาหาร แบ่งเป็นหลายชนิด เนื่องจากกระเพาะอาหารประกอบด้วยหลายส่วน ตั้งแต่ชั้นผิวกระเพาะ ชั้นใต้เยื่อบุกระเพาะ กล้ามเนื้อกระเพาะ และผิวด้านนอกกระเพาะ ซึ่งสามารถเกิดมะเร็งได้ทุกชั้นของกระเพาะอาหาร แต่ที่พบบ่อยคือ มะเร็งผิวกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะชนิด GIST ซึ่งเกิดใต้ชั้นผิวกระเพาะ
- มะเร็งเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการอักเสบของกระเพาะอาหารแล้วเรื้อรังจนเยื่อบุกระเพาะกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งกระบวนการนี้จะมีเชื้อแบคทีเรียตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Helicobacter pylori (H. Pylori, เอช.ไพโลไร) เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กระบวนการอักเสบเรื้อรังไม่หาย และนำไปสู่การเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
- มะเร็งกระเพาะชนิด GIST (จีส) ซึ่งเป็นมะเร็งชั้นใต้ผิวกระเพาะ เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ชั้นใต้ผิวกระเพาะ ซึ่งเป็นเซลล์ระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกระเพาะ จะอยู่ในชั้นใต้ผิวเซลล์กระเพาะ
มะเร็งเยื่อบุกระเพาะ เป็นโรคที่มีความรุนแรงและอันตรายกว่า GIST (จีส) ซึ่งนับเป็นความโชคดีที่พบในคนไทยน้อย เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ส่วนทั่วโลกมะเร็งเยื่อบุกระเพาะพบเป็นอันดับ 5 ของมะเร็งทั้งหมด
...
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง มีดังนี้
1. พันธุกรรม คนที่มีพ่อแม่ หรือญาติ เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ก็มีโอกาสและความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้มากกว่าคนอื่น
2. การอักเสบของกระเพาะอาหารเรื้อรัง การกินอาหารบางอย่างที่กระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ เช่น อาหารปิ้งย่าง อาหารหมักดอง อาหารที่เค็ม ซึ่งกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้
3. การติดเชื้อ เอช.ไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งเยื่อบุกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะแบบชนิดที่ไม่รุนแรง
อาการ
“โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร” เป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการในช่วงแรกๆ เนื่องจากอาการคล้ายกับการเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร หรือกรดไหลย้อน นั่นคือ ปวด เสียด ตื้อ จุก และแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย ปวดท้องก่อนและหลังรับประทานอาหาร ปวดท้องตอนท้องว่าง หรือปวดท้องกลางดึก อาการปวดเป็นๆ หายๆ
หากเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อได้กินยารักษาประมาณ 6-8 สัปดาห์ อาการดังกล่าวก็ควรจะดีขึ้น และหายไป ถ้ายังไม่หาย หรือเป็นๆ หายๆ ก็ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุต่อไป
อาการอื่นๆ ที่พบได้ถ้าเป็นโรคมะเร็งเป็นมากแล้ว ได้แก่ กินอาหารไม่ได้ อาเจียน เนื่องจากมีก้อนไปอุดตันกระเพาะอาหาร ในบางรายอาจมีอาการแสดงของภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนบน เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำเหนียวคล้ายยางมะตอย หรือคลำพบก้อนที่ท้อง และถ้าหากก้อนมีการแพร่กระจายเยอะ อาจจะมีน้ำในช่องท้อง ท้องโตบวมได้
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโดยการส่องกล้องกระเพาะอาหาร ซึ่งปัจจุบันก็ทำได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีของการส่องกล้องที่มีการพัฒนาไปอย่างมาก ประกอบกับประสิทธิภาพที่ดีของกล้องที่มีความคมชัด และแพทย์ที่สามารถทำการส่องกล้องทางเดินอาหารก็มีจำนวนมาก โดยจะใช้เวลาส่องกล้องกระเพาะอาหารไม่นาน เฉลี่ยประมาณ 15 นาที และแทบจะไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็สามารถประเมินได้แล้วว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารหรือไม่ จากนั้นก็จะตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัยอีกครั้ง หลังจากนั้นแพทย์ก็จะทำ CT Scan ประเมินระยะของโรคอีก เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับระยะของโรค
สัปดาห์หน้ายังมีเรื่องราวน่ารู้ของการรักษา การดูแลตนเอง และการป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหารกันต่อ รอติดตามกันต่อนะครับ
@@@@@@@@@@@
แหล่งข้อมูล
รศ.นพ.ไชยรัตน์ ทรัพย์สมุทรชัย ศัลยศาสตร์มะเร็งวิทยา สาขาศัลยศาสตร์ทางเดินอาหารและศัลยศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล