“โรคกระดูกเปราะพันธุกรรม (Osteogenesis Imperfecta: OI)” หรือโรคกระดูกหักง่าย เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีนในกลุ่ม heterogeneous ในการผลิตคอลลาเจน เมื่อจำนวนคอลลาเจน หรือสารโปรตีนที่อยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งเป็นโครงสร้างในการผลิตกระดูกและเนื้อเยื่อมีจำนวนไม่เพียงพอ จะส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบกระดูก และกล้ามเนื้อ
อุบัติการณ์ของโรค
โรคกระดูกเปราะพันธุกรรม เป็นโรคที่พบบ่อยอันดับ 1 ในกลุ่มโรคกระดูกเมแทบอลิกที่เกิดจากพันธุกรรม เป็นโรคที่พบได้ทั้งในเพศชายและหญิงในสัดส่วนที่เท่ากัน และพบได้ในทุกเชื้อชาติ โดยอุบัติการณ์ที่พบ คือ ในอัตราเด็กทารกแรกเกิด 1 รายต่อ 15,000-20,000 ราย ในประเทศไทย พบผู้ป่วยเด็กทารกเป็นโรคนี้ 0.6 รายต่อ 1,000 ราย
โรคกระดูกเปราะพันธุกรรม ส่วนใหญ่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในระบบ autosomal dominant มีการคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยโรคกระดูกเปราะพันธุกรรมในอัตรา 6-7 คนต่อประชากรทั่วโลก 100,000 คน ในประเทศสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะมีผู้ป่วยจำนวนขั้นต่ำ 20,000 คน และอาจมีจำนวนมากถึง 50,000 คน โดยประเภทที่พบบ่อยยที่สุด คือ ชนิดที่ 1-4 ในอัตรา 4-5 คนต่อประชากรทั่วโลก 100,000 คน
โรคกระดูกเปราะพันธุกรรมชนิดที่ 1-4 มีการถ่ายทอดโรคผ่านทาง autosomal dominant ดังนั้น ลูกจะมีโอกาสได้รับจากพ่อหรือแม่ประมาณร้อยละ 50 นอกจากนี้ พบว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยได้รับการถ่ายทอดโรคผ่านทาง autosomal recessive (ชนิดที่ 6-11) ซึ่งการถ่ายทอดโรคผ่านทาง autosomal recessive เกิดขึ้น เมื่อพ่อและแม่ไม่ได้มียีนผิดปกติโดยตรง แต่พ่อและแม่มียีนที่เป็นพาหะนำโรค ในกรณีนี้พบว่าร้อยละ 25 ที่ลูกจะมีโอกาสไม่เป็นโรค และไม่ได้รับยีน ร้อยละ 25 ที่ลูกจะมีโอกาสได้รับยีน และเกิดโรค และร้อยละ 50 ที่ลูกจะไม่เกิดโรค แต่มียีนที่เป็นพาหะนำโรค ในปัจจุบันยังพบว่า โรคกระดูกเปราะพันธุกรรมเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
...
ชนิดของโรคกระดูกเปราะพันธุกรรม
ปัจจุบันโรคกระดูกเปราะพันธุกรรมแบ่งเป็น 12 ชนิด และชนิดที่ไม่สามารถจัดเข้ากลุ่มได้
โรคกระดูกเปราะพันธุกรรมชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal dominant
● ชนิดที่ 1 เกิดจากความผิดปกติของยีน COL1A1 ผู้ป่วยจะมีความสูงปกติหรือค่อนข้างเตี้ย กระดูกหักส่วนรยางค์บ่อย โดยจะพบในช่วงวัยก่อนเจริญพันธุ์ ตาขาวสีฟ้า สูญเสียการได้ยิน และลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว
● ชนิดที่ 2 เกิดจากความผิดปกติของยีน COL1A1/ COL1A2 ทารกมักเสียชีวิตขณะอยู่ในครรภ์ กระดูกซี่โครงหลายซี่ และกระดูกส่วนยาวหัก ขณะอยู่ในครรภ์ หรือหักเมื่อแรกคลอด กระดูกหลายส่วนมีรูปร่างผิดปกติ โดยกระดูกทรวงอกมีขนาดเล็ก เกิดโรคปอดอักเสบ ส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและเสียชีวิต

● ชนิดที่ 3 เกิดจากความผิดปกติของยีน COL1A1/ COL1A2 ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ยมาก กระดูกหักตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และกระดูกหักบ่อยในขณะที่เจริญเติบโตจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มีลักษณะรูปหน้าเป็นสามเหลี่ยม ตาขาวเป็นสีฟ้าหรือสีเทา กระดูกสันหลังหักแบบกดทับ กระดูกสันหลังคดรุนแรง และมีหินปูนเกาะที่กระดูกเป็นหย่อม ๆ ไม่สม่ำเสมอที่กระดูกต้นขา
● ชนิดที่ 4 เกิดจากความผิดปกติของยีน COL1A1/ COL1A2 ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ยปานกลางถึงรุนแรงมาก โดยจะมีอาการคาบเกี่ยวระหว่างชนิดที่ 1 และ 3 โดยพบกระดูกหักเมื่อแรกเกิด กระดูกยาวหัก กระดูกสันหลังคดเล็กน้อยถึงปานกลาง ตาเป็นสีขาวหรือสีเทา
● ชนิดที่ 5 เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ไม่ทราบชนิด ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ยเล็กน้อยถึงปานกลาง พบกระดูกซ่อมในบริเวณที่หักมากผิดปกติ ตาขาวไม่เป็นสีขาว

โรคกระดูกเปราะพันธุกรรมชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal recessive
● ชนิดที่ 6 เกิดจากความผิดปกติของยีน SERPINF1 ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ยปานกลาง กระดูกสันหลังคด
● ชนิดที่ 7 เกิดจากความผิดปกติของยีน CRTAP ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีอาการแสดงคล้ายผู้ป่วยชนิดที่ 4 ความยาวของกระดูกรยางค์ผิดปกติ โดยพบที่กระดูกต้นแขน และตาขาวเป็นสีขาว
● ชนิดที่ 8 เกิดจากความผิดปกติของยีน P3H1/LEPRE1 ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ย การเจริญเติบโตของร่างกายถดถอยระดับรุนแรง กระดูกขาดแร่ธาตุอย่างรุนแรง ตาขาวสีขาว กระดูกพรุนรุนแรง มีหินปูนเกาะที่กระดูกเป็นหย่อม ๆ ขนาดไม่สม่ำเสมอ กระดูกแขนขาโก่งสั้น
...
● ชนิดที่ 9 เกิดจากความผิดปกติของยีน PPIB ผู้ป่วยจะมีรูปร่างเตี้ย การเจริญเติบโตของร่างกายถดถอยระดับรุนแรง กระดูกรยางค์
● ชนิดที่ 10 เกิดจากความผิดปกติของยีน SERPNH1 กระดูกหลายส่วนของผู้ป่วยจะผิดรูปและหัก กระดูกพรุน ตาขาวสีฟ้า กระดูกเจริญผิดปกติรุนแรง และพบนิ่วในไต
● ชนิดที่ 11 เกิดจากความผิดปกติของยีน FKBP10 ผู้ป่วยจะมีกระดูกรยางค์สั้นและโก่ง ข้อยึดติด กระดูกสันหลังแบน และคด
● ชนิดที่ 12 เกิดจากความผิดปกติของยีน BMP1 ผู้ป่วยจะมีผิวหนังขยายมาก
● ไม่สามารถระบุชนิดได้ เกิดจากความผิดปกติของยีน SP7 ฟันของผู้ป่วยจะขึ้นช้า
● ไม่สามารถระบุชนิดได้ เกิดจากความผิดปกติของยีน WNT1 ระบบประสาทส่วนกลางของผู้ป่วยจะมีความผิดปกติ

การวินิจฉัยทำได้ 2 วิธี คือ
1. ขณะอยู่ในครรภ์ โดยการตรวจอัลตราซาวนด์ขณะที่แม่มีอายุครรภ์ 14-18 สัปดาห์ โดยสามารถวินิจฉัยโรคกระดูกเปราะพันธุกรรมชนิดที่ 2 และ 3 ซึ่งหากสงสัยว่าทารกอาจมีโรคนี้ในครรภ์แม่แล้ว ควรตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการตรวจโครโมโซม ซึ่งจะทำให้ตรวจพบความผิดปกติของ type 1 collagen ผ่านการตรวจการเคลื่อนที่ของตัวอย่างภายใต้สนามไฟฟ้า หรือเจาะน้ำคร่ำเพื่อนำ DNA ของทารกไปตรวจวิเคราะห์โมเลกุล
2. หลังคลอด ควรซักประวัติครอบครัวผู้ป่วยว่ามีบุคคลในครอบครัวที่มีรูปร่างเตี้ย หรือมีอาการฟกช้ำง่ายหรือไม่ ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นอาการสำคัญของโรคกระดูกเปราะพันธุกรรมชนิดที่ 1 นอกจากนี้การตรวจสอบประวัติการตั้งครรภ์ ปริมาณน้ำคร่ำ ภาวะลูกดิ้นขณะตั้งครรภ์และประวัติการคลอด เนื่องจากการที่มีปริมาณน้ำคร่ำมากเป็นอาการสำคัญของโรคกระดูกเปราะพันธุกรรมชนิดที่ 1
สำหรับทารกแรกเกิดที่เป็นโรคกระดูกเปราะพันธุกรรม มักจะมีกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ ไม่สมส่วนกับลำตัวที่มีขนาดเล็ก มี triangular facies เนื่องจากกระดูกหน้าผากยื่น คางเล็กและตาขาวสีฟ้า หรือสีเทา กะโหลกศีรษะนิ่ม หน้าอกสั้นและแคบ เมื่อคลำบริเวณกระดูกซี่โครงอาจพบการสร้างตัวของกระดูกซ่อม กระดูกรยางค์มักสั้นและโก่ง
สัปดาห์หน้ายังมีเรื่องราวน่ารู้เรื่องการรักษา การดูแลผู้ป่วยและการป้องกันโรคกระดูกเปราะพันธุกรรมกันต่อ รอติดตามกันนะคะ
___________________________________________________________
แหล่งข้อมูล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชญ์ประอร ยังเจริญ สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล