“การพูด” นับว่าเป็นหนึ่งในพัฒนาการของเด็กที่คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้เลี้ยงดูจะต้องให้ความสำคัญไปไม่น้อยกว่าพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็ก และหากพบว่าบุตรหลานของท่านมีความผิดปกติด้านการพูด ก็ควรรีบพาไปพบกุมารแพทย์ทันที และหากพบว่าเด็กมีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้า แพทย์จะส่งไปปรึกษานักแก้ไขการพูด เพื่อกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาและการพูด พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคนด้วย
พัฒนาการด้านการใช้ภาษาในช่วงวัยต่างๆ ของเด็ก
- เด็กอายุ 3 เดือน จะเริ่มเล่นเสียงอ้อแอ้
- เด็กอายุ 6 เดือน จะเริ่มเล่นเสียงซ้ำๆ เช่น ปาๆ มาๆ ดาๆ เป็นต้น
- เด็กอายุ 8-9 เดือน ก็จะเริ่มออกเสียงพยัญชนะและสระได้หลากหลาย เช่น ปาปีปู ดาดาบู อากาตา เป็นต้น ในวัยนี้เด็กพยายามจะพูด แต่ยังเป็นคำที่ไม่มีความหมาย การที่เด็กเล่นเสียงพยัญชนะและสระได้หลากหลาย จะช่วยในเรื่องการบริหารอวัยวะในช่องปากและขากรรไกร เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มพูดเป็นคำที่มีความหมาย นั่นคือตอนช่วงอายุประมาณ 1 ขวบ นอกจากนี้เด็กในวัยนี้จะใช้ท่าทางในการสื่อสารได้หลากหลายมากขึ้น เช่น ชี้นิ้ว กวักมือเรียก กางแขนให้อุ้ม ส่ายหน้าปฏิเสธ เป็นต้น
- เด็กอายุ 1 ขวบ จะเริ่มพูดคำโดดได้ประมาณ 5-10 คำ
- เด็กอายุ 1 ขวบครึ่ง จะพูดคำโดดได้ประมาณ 50 คำ และจะเริ่มพูดรวมคำ เช่น กินข้าว ไม่เอา ไปเที่ยว เป็นต้น
- เด็กอายุ 2 ขวบ จะเริ่มพูดเป็นประโยคยาว 2-3 คำติดกัน เช่น แม่นั่งนี้ พ่อมาแล้ว เป็นต้น
...
หากลองสังเกตดู จะพบว่าก่อนที่เด็กจะพูดได้ เด็กจะต้องเล่นเสียงต่างๆ ได้หลายเสียง และใช้ท่าทางในการสื่อสารได้มากก่อน
แต่หากพบว่าเด็กอายุ 2 ขวบแล้วยังไม่พูด 2 คำติดกัน ก็ควรรีบพามาพบกุมารแพทย์ เพราะเด็กอาจไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องการพูดเพียงอย่างเดียว อาจจะมีปัญหาด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การได้ยินผิดปกติ อาการชัก พัฒนาการช้าทุกด้าน สติปัญญาบกพร่อง ออทิสซึม เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาและการพูดที่ล่าช้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นการรีบพาเด็กมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาให้เร็วที่สุด ก็จะทำให้เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้
นักแก้ไขการพูดกระตุ้นให้เด็กพูดอย่างไร
นักแก้ไขการพูดจะใช้ “การเล่น” เป็นสื่อกลางในการกระตุ้นภาษาและการพูดแก่เด็ก นอกจากการเล่นจะช่วยส่งเสริมทักษะทางภาษาและการพูดแล้ว การเล่นยังช่วยส่งเสริมทักษะทางสังคม อารมณ์ กระบวนการคิดแก้ปัญหา กล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็ก รวมถึงจินตนาการของเด็ก ซึ่งจะนำไปสู่การพูดเล่าเรื่องได้ในอนาคต เพราะโดยปกติแล้วพัฒนาการทุกๆ ด้าน จะพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ซึ่งพัฒนาการในแต่ละด้านนี้จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน และทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และมีภาษาที่ดีขึ้นได้
ตัวอย่างการเล่นของเด็กก่อนขวบครึ่ง เด็กจะเล่นของเล่นในเชิงสำรวจ เช่น ตี เคาะ โยน เป็นต้น
เด็กขวบครึ่ง เด็กจะเริ่มเล่นสมมติง่ายๆ ได้ เช่น หยิบแก้วที่ไม่มีน้ำมาทำท่าดื่ม เป็นต้น
เด็กอายุใกล้ 2 ขวบ ก็จะเริ่มเล่นกับตุ๊กตา เช่น ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ตุ๊กตา เป็นต้น โดยเป็นการนำเหตุการณ์จริงมาเล่นสมมติ เมื่อเด็กเริ่มสนใจสิ่งรอบข้างก็จะเริ่มเลียนแบบ เริ่มอยากออกเสียง และพูดออกมาได้ในที่สุด
นอกจากนี้ พ่อแม่ และผู้ปกครอง มีส่วนสำคัญมากในการที่จะทำให้เด็กพูดได้เร็วขึ้น โดยจะแนะนำให้พ่อแม่เข้ามาร่วมเล่นกับเด็ก และสอนให้เด็กได้เข้าใจคำศัพท์ต่างๆ ก่อนที่เด็กจะนำคำที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในการสื่อสารเองในที่สุด นอกจากนี้ก็แนะนำให้พ่อแม่ใช้หลัก 5 ส. ในการกระตุ้นเด็ก ซึ่งได้แก่
สนุก - สังเกตว่าเด็กชอบเล่นอะไร แล้วก็เข้าไปร่วมเล่นกับเขา เช่น ชอบเล่นรถ เวลาเล่นรถจะมีเสียงบรื้นๆ เป็นการฝึกให้เขาออกเสียงไปในตัว เป็นต้น
สมดุล - เล่นแบบพอดีๆ ไม่มาก หรือน้อยเกินไปกว่าเด็ก
สลับ - เป็นการเล่นโดยสลับบทบาทกัน ให้เด็กเป็นผู้นำ เราเป็นผู้ตาม หรือเราเป็นผู้นำ แล้วเด็กเป็นผู้ตาม
เสมอ - ถ้าเด็กเริ่มพูดเป็นคำๆ พ่อแม่ก็ควรพูดเป็นคำๆ กับเขา หรือพูดยาวอีกสัก 1 คำ ไม่ควรพูดกับเด็กยาวเป็นประโยค เพราะไม่เหมาะกับพัฒนาการที่แท้จริงของเด็ก
สนอง - เมื่อเด็กสื่อสารอะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือคำพูด ผู้ใหญ่ก็ควรตอบสนองไปตามที่เขาแสดงออกมา เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ว่า สื่อสารแล้วได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้เขาเข้าใจคำศัพท์และความหมายของคำๆ นั้น
สิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจมากอีกเรื่องก็คือ การใช้เทคโนโลยีต่างๆ อย่างแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือ พ่อแม่ไม่ควรให้เด็กอายุ 0-3 ปี ใช้หรือดูหน้าจอเหล่านี้เลย เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อสายตา และทำให้พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กล่าช้าไปด้วย โดยปกติแล้วเด็กในวัยนี้จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวผ่านการสำรวจ หยิบจับสิ่งของ หรือของเล่นที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยพัฒนาเด็กในหลายๆ ด้าน เช่น การมอง การสังเกต การทำงานประสานกันระหว่างมือกับตา การเอื้อมคว้า การกะระยะ การแก้ปัญหา ตัวอย่างเช่น ของเล่นที่อยากได้อยู่ไกล และมีเก้าอี้มาขวางอยู่ เขาจะต้องคิดแก้ปัญหาว่าจะต้องทำอย่างไร เช่น คลานไปหยิบ เดินอ้อม ให้ผู้ใหญ่หยิบให้ เป็นต้น
...
ผลการรักษา
ไม่สามารถระบุผลการรักษาได้แน่ชัดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกนานแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเด็ก ความร่วมมือของคนเลี้ยงดู และคนในครอบครัว ซึ่งจะต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยปกติแล้วควรมาพบนักแก้ไขการพูดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรืออาจจะนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย และหากเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการพูดที่ดีขึ้น นักแก้ไขการพูดก็จะนัดพบกับเด็กห่างออกไป เช่น เดือนละ 2 ครั้ง เดือนละครั้ง หรือ 3 เดือนมาพบนักแก้ไขการพูด 1 ครั้ง เป็นต้น จนกระทั่งเขามีพัฒนาการทางด้านภาษาและการพูดเทียบเท่ากับเด็กปกติ ก็จะจำหน่ายออกไป แต่ถ้าเด็กโตขึ้นแล้วคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าเด็กเริ่มมีปัญหาด้านภาษาและการพูด หรือการอ่าน การเขียน ก็สามารถพาเด็กกลับมาปรึกษานักแก้ไขการพูดได้อีก
แหล่งข้อมูล
คุณทศพร โอภาสเสรีผดุง นักแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมาย ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล