ก็เพราะปักธงไว้อย่างแน่วแน่ว่าอยากจะให้คนไทยได้ทานอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆมีคุณภาพในราคาไม่โขกสับ “มร.เคนจิ ทานาก้า” นักธุรกิจเลือดซามูไร ซึ่งเข้ามาปักหลักทำธุรกิจร้านอาหารในเมืองไทยต่อเนื่องยาวนานกว่าครึ่งค่อนชีวิต จึงลุกขึ้นบุกเบิกเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งแรกในศูนย์การค้าใหญ่ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ภายใต้ชื่อ “ฟูจิ” จนปัจจุบันผงาดขึ้นเป็นเชนร้านอาหารญี่ปุ่นอันดับหนึ่งในดวงใจนักชิมชาวไทย
จากร้านอาหารญี่ปุ่นไซส์กะทัดรัด ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ซึ่งมีพนักงานเพียงไม่กี่สิบชีวิต “ฟูจิ” ได้พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นเชนร้านอาหารญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศเกือบ 100 สาขา มีพนักงาน 5,000 คน และมียอดขายมากกว่า 8,000 ล้านบาทต่อปี
ความสำเร็จของภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นฟูจิ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฟลุกๆ และแม้เวลาจะผ่านไปถึง 3 ทศวรรษแล้วก็ตาม “ฟูจิ” ก็ยังครองแชมป์ความเป็นผู้นำเชนร้านอาหารญี่ปุ่นระดับท็อปของเมืองไทยไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยมีสองพี่น้องทายาทตระกูลทานาก้า คือ “มร.ไดซากุ ทานาก้า” วัย 42 ปี และ “อำนาจ ทานาก้า” วัย 35 ปี ร่วมผนึกกำลังกันสานต่อตำนานความเป็นหนึ่งของ “ฟูจิ กรุ๊ป” ให้ก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การสยายปีกบุกตลาดโลก เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมความอร่อยตามแบบฉบับฟูจิให้ขจรขจายไปทั่ว
คุณพ่อเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยได้อย่างไร
คุณได : คุณพ่อเป็นนายแบงก์มาก่อนครับ ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่พอดีมีเพื่อนสนิททำร้านอาหารอยู่เมืองไทย จึงชวนคุณพ่อมาช่วยดูแล ตอนนั้นท่านอายุ 30 เศษ ท่านเล่าให้ฟังว่า อยู่ญี่ปุ่นมีระบบระเบียบเยอะ ทำให้ไม่มีอิสระในการทำงานและใช้ชีวิต ถ้ามาเมืองไทยมีโอกาสเยอะกว่า จึงตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทยตามคำชวนในปี 1976 ตอนแรกคุณพ่อช่วยบริหารร้านไดโกกุ อยู่ที่ตึกอับดุลราฮิม ซึ่งเป็นตึกเดียวกับที่ตั้งออฟฟิศปัจจุบันของ “ฟูจิ กรุ๊ป” หลังจากนั้น 2 ปี ท่านก็เปิดร้านอาหารร้านแรกของตัวเอง ที่ตึกธนิยะพลาซ่า ใช้ชื่อว่า “ซูชิ ซึคิจิ” เป็นร้านขายซูชิ
คุณพ่อเล็งเห็นโอกาสอะไร จึงเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในศูนย์การค้า ทั้งๆที่ยุคนั้นไม่มีใครคิดทำมาก่อน
คุณได : คุณพ่อบอกว่า สมัยก่อนในเมืองไทยมีแต่ร้านอาหารญี่ปุ่นแพงๆ ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ต้องแพงขนาดนั้นก็ได้ ท่านเลยคิดอยากทำร้านอาหารญี่ปุ่นที่ราคาไม่แพงมาก ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ คุณพ่ออยากให้คนไทยได้ทานอาหารญี่ปุ่นในราคาสมเหตุสมผล และนี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของฟูจิ กรุ๊ปในประเทศไทย โดยภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นฟูจิสาขาแรกเปิดบริการที่ศูนย์การค้าใหญ่แห่งแรกของเมืองไทย คือ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ในปี 1982 เราเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกๆ ที่ให้บริการความอร่อยจากต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ แต่ปรับรสชาติให้ถูกปากถูกใจคนไทยมากขึ้น ในราคาที่ทุกคนสามารถรับประทานได้ ที่สำคัญคุณพ่อยังคำนึงถึงเรื่องสุขภาพด้วย จึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการคัดสรรวัตถุดิบที่ใหม่ สะอาด และปรุงอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน
ตอนเปิดร้านฟูจิใหม่ๆประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างเลยไหม
คุณได : คุณพ่อเล่าว่า ไม่มีลูกค้าเลย เงียบ 3-6 เดือน อาจเป็นเพราะห้างฯยังใหม่ ตอนนั้นเรามีพนักงาน 30-40 คน
“ฟูจิ” เติบโตเร็วไหม และยุคไหนถือเป็นยุคทอง
อำนาจ : เราเติบโตเร็วสุดในช่วงปี 1997 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในเมืองไทยและเอเชีย ผู้บริโภคเวลากระเป๋าสตางค์มีปัญหาก็จะเลือกทานของที่คุ้มค่าเงินที่สุด ทำให้เราโตเร็วมากและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับชาวบ้าน คุณพ่อจะบอกเสมอว่า ถึงแม้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ผู้บริโภคยังต้องการสิ่งบันเทิงในชีวิต เพื่อคลายเครียด ซึ่งการรับประทานอาหารในร้านอาหารดีๆในราคาที่สามารถจ่ายได้ ถือเป็นความสุขคุ้มค่าที่สุดแล้ว
ลูกๆเข้ามาช่วยงานคุณพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่ และแบ่งหน้าที่กันอย่างไร
คุณได : ผมเกิดและโตที่โตเกียวครับ เป็นลูกชายคนโต จบปริญญาตรีด้านกฎหมาย หลังจากทำงานแบงก์อยู่ 3 ปี คุณพ่อบอกให้มาช่วยงานร้านอาหาร โดยเริ่มจากดูแลร้านอาหารไทยในโตเกียว ชื่อว่า ร้านเบญจรงค์ จากนั้น ผมก็ถูกเรียกตัวมาเมืองไทยตอนอายุ 26 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฟูจิกำลังขยายสาขา คุณพ่อมอบหมายให้ดูแลเรื่องโอเปอเรชั่นทั้งหมด
...
อำนาจ : ผมอายุน้อยกว่า “พี่ได” 8 ปี เกิดและโตที่กรุงเทพฯ เรียนจบด้านการตลาดมาจากอเมริกา เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย คุณพ่อจึงให้ช่วยงานด้านวางแผนการตลาด มีหน้าที่คิดโปรโมชั่นต่างๆ และสร้างภาพลักษณ์อันดีงามให้ฟูจิ กรุ๊ป ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กๆไหมว่าลูกชายคนโตต้องสืบทอดกิจการร้านอาหาร
คุณได : ผมเห็นคุณพ่อทำร้านอาหารมาตั้งแต่เกิด และทุกปิดเทอมก็จะเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย จึงคุ้นเคยดีกับบรรยากาศของร้านอาหาร คือ เรามองพ่อเราเป็นฮีโร่ โตขึ้นจึงอยากเก่งเหมือนคุณพ่อ และช่วยคุณพ่อแบ่งเบาภาระ ท่านไม่เคยบังคับว่าต้องมาเมืองไทย แต่ผมอยากมา เพราะชอบเมืองไทย
มาถึงเมืองไทยใหม่ๆ งานแรกที่ได้รับมอบหมายคืออะไร
คุณได : อย่างแรกเลยคือ เรียนภาษาไทยครับ ต้องฝึกพูดให้ได้ เพื่อจะได้สื่อสารกับพนักงานในร้าน ผมก็อาศัยคุยกับพนักงานในร้าน พูดกับลูกค้าบ้าง พยายามพูดทุกวัน ไม่ได้ไปเรียนที่ไหน ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกัน นอกจากเรื่องภาษาแล้ว ยังต้องเรียนรู้วัฒนธรรมและนิสัยใจคอของคนไทยด้วย คนไทยซับซ้อนมาก และไม่ค่อยมีระเบียบ ผิดกับคนญี่ปุ่นเน้นระเบียบวินัย และยึดระบบอาวุโสเป็นหลัก ผมมีหน้าที่ดูแลเรื่องโอเปอเรชั่นในร้านทั้งหมด จึงต้องเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และพยายามหาจุดที่ลงตัว ยอมรับว่าต้องปรับตัวเยอะมาก
คุณพ่อช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกๆบ้างไหม ถ่ายทอดวิชาอะไรให้บ้าง
คุณได : ให้ทำไปก่อน!! คุณพ่อจะไม่บอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง บางครั้งเราก็ประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ แต่ท่านอยากให้มีประสบการณ์ตรง ต้องรู้จักลำบากก่อน ต้องเจ็บตัวก่อน ถ้าทำไม่ได้จริงๆ คุณพ่อจะยื่นมือเข้ามาช่วย คุณพ่อบอกเสมอว่าเราต้องดูแลลูกน้องเหมือนคนในครอบครัว พวกเขาจะได้รักบริษัท และภูมิใจที่ทำงานกับเรา ที่สำคัญยังต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา พวกเราต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน มีอะไรก็ต้องสื่อสารกัน พูดคุยกันเยอะๆ เพื่อให้หัวใจเป็นดวงเดียวกัน คุณพ่อย้ำเสมอว่า เราทำร้านอาหาร คนที่จะเด่นดังไม่ใช่ผู้บริหาร แต่เป็นลูกค้าที่เข้ามาทานในร้าน ปัจจุบันเรามีพนักงานเยอะ หลายคนไม่รู้จักผม เวลาไปที่ไหนเห็นร้านฟูจิ ผมก็จะแวะเข้าไปทาน ไม่ได้ไปตรวจหรอกนะ แต่อยากไปเซย์ฮัลโหลทักทายลูกน้อง ให้กำลังใจพวกเขา
อำนาจ : พ่อจะสอนเสมอว่าเราต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ทั้งกับลูกค้าและลูกน้อง ท่านเป็นคนแอคทีฟมาก พูดตลอดว่า ชีวิตนี้ไม่มีวันเกษียณ เพราะชอบทำงาน ตอนนี้ท่านอายุ 60 กว่าแล้ว ก็ยังเดินทางเยอะ คิดโน่นคิดนี่หาอะไรดีๆมาปรับปรุงร้านเสมอ คุณพ่อชอบชวนคุณแม่ไปแอบชิมอาหารตามสาขาต่างๆเพื่อตรวจสอบมาตรฐาน และเวลาเดินทางไปที่ไหน ท่านก็จะต้องชิมอาหารของประเทศนั้นๆ เมนูไหนเข้าท่าจะนำมาปรับปรุงเป็นเมนูใหม่ของร้าน
อะไรคือจุดแข็งทำให้ “ฟูจิ” ครองใจนักชิมชาวไทยมาถึง 3 ทศวรรษ
อำนาจ : เรามีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่เป็นเชนร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งแรกในศูนย์การค้าใหญ่ ทำให้มีฐานลูกค้าเก่าอยู่พอสมควร ลูกค้าส่วนใหญ่มาทานกันเป็นครอบครัว พ่อแม่เคยพามาทานตอนเด็กๆ พอโตขึ้นมีครอบครัวของตัวเองก็พาลูกๆมาทานบ้าง กลายเป็นร้านโปรดประจำครอบครัว แต่ยังไงซะ เราต้องปรับตัวตามยุคสมัยด้วย เพื่อไม่ให้ใครแซงหน้าได้ เช่น การตกแต่งร้านให้ทันสมัยขึ้น เพิ่มเมนูให้หลากหลายขึ้น และพัฒนาเรื่องการบริการให้ดีขึ้น ทุกวันนี้ คุณพ่อก็ยังเป็นคนคิดเมนูใหม่ๆเข้าร้านตลอด และหาไอเดียสร้างความแปลกใหม่ให้ฟูจิ
...
ปัญหาใหญ่ของการทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ตรงไหน
อำนาจ : คนครับเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด!! นอกจากพนักงานของเราจะถูกซื้อตัวไปบ่อยๆแล้ว เมนูอาหารใหม่ๆ ของเรายังหลุดไปอยู่ในมือคู่แข่งด้วย ทุกปีครึ่งเราจะออกเมนูใหม่ประมาณ 20% ของเมนูทั้งหมด เพื่อให้เกิดความหลากหลายและแปลกใหม่ แต่ยังไม่ทันวางขายเลย ก็ไปโผล่ในร้านคู่แข่งซะแล้ว!! เราไม่มีนโยบายซื้อตัวใคร เพราะมีระบบเทรนนิ่งที่ได้มาตรฐานมาก พร้อมสร้างคนขึ้นใหม่ตลอดเวลา
คุณได : คนเป็นผู้บริหารต้องมองพนักงานทุกคนในแง่ดีไว้ก่อน ไม่ใช่จ้องจับผิด ผมจะมองว่าทุกคนสามารถทำได้ และปล่อยให้ลองทำด้วยตัวเอง เมื่อใครมีปัญหา จึงค่อยยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไข
อีก 10 ปีข้างหน้า “ฟูจิ กรุ๊ป” จะเติบโตไปทิศทางไหน
อำนาจ : พวกเราฝันไว้ว่าอยากขยายสาขาไปทั่วโลก ทำให้ฟูจิเป็นที่รู้จักระดับอินเตอร์ แต่ขอเริ่มจากภูมิภาคเอเชียก่อน เพราะคุณพ่ออยากให้แน่ใจว่าควบคุมมาตรฐานได้ ล่าสุด ฟูจิก็เพิ่งไปเปิดสาขาที่พม่าและลาว นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขยายธุรกิจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นการนำเชนร้านแกงกะหรี่ชื่อดังของญี่ปุ่น “โคโค่ อิชิบันยา” มาเปิดในเมืองไทย เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ขยายสาขาไปกว่า 20 สาขาทั่วประเทศ และเพิ่งไปเปิดสาขาที่สิงคโปร์ “ฟูจิ กรุ๊ป” ยังทำชาเขียว, ซุป และน้ำสลัดสำเร็จรูป แต่ทุกอย่างเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะคุณภาพสินค้าสำคัญที่สุด เราต้องควบคุมคุณภาพ แม้แต่ข้าวที่นำมาใช้ ก็มีโรงสีข้าวของตัวเองที่จังหวัดเชียงราย ควบคุมดูแลเองทุกขั้นตอนเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ข้าวญี่ปุ่นคุณภาพดีที่สุด พร้อมนำมาปรุงและเสิร์ฟในร้านฟูจิ
...
คุณได : การทำร้านอาหารให้ดี ไม่ใช่แต่งหน้าทาปากสวยๆ แล้วจบ เราต้องลงลึกถึงรายละเอียดทุกอย่าง ต้องสวยจากข้างใน ทำทีละเล็กละน้อย ปรับปรุงแต่ละจุดให้ดีขึ้น ทั้งเรื่องอาหาร บริการ และบรรยากาศ แล้วเมื่อเอาทุกจุดมารวมกันจะได้คุณภาพดีขึ้นไปเรื่อยๆ คือทำธุรกิจร้านอาหารหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ ก็เพราะอย่างนี้ ฟูจิจึงเน้นเรื่องการเทรนนิ่งมาก เรามีทีมเชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่นกว่า 2,000 คน และสร้างทีมงานเข้มแข็งเพื่อพร้อมให้บริการอย่างมืออาชีพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็เพื่อมอบสิ่งดีที่สุดให้ลูกค้า สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะไปทานที่สาขาไหน ก็ต้องได้รสชาติและคุณภาพของอาหารในมาตรฐานเดียวกันทั้ง 300 เมนู พวกเราอยู่กันแบบครอบครัว พนักงานร่วมก่อตั้งกว่า 100 คน ที่อยู่กับฟูจิมาตั้งแต่ต้น ก็ยังอยู่ช่วยเราทำงานจนถึงทุกวันนี้ โดยคุณพ่อไว้วางใจส่งพนักงานกลุ่มนี้ออกไปดูแลตามสาขาต่างๆ เพื่อช่วยเทรนน้องๆที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวฟูจิ.
ทีมข่าวหน้าสตรี