ขณะที่การดูแลสุขภาพเพื่อให้ชีวิตยืนยาวหรือ Longevity ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องในกระแส เพราะใครๆ ต่างก็อยากมีสุขภาพดี แต่ในทางกลับกัน ก็ยังคงมี “ความเชื่อผิดๆ” เกี่ยวกับการรับประทานอาหารบางชนิดว่าอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งที่ความจริงอาจตรงกันข้าม

ความเชื่อที่ 1 น้ำตาลคือยาพิษ

ความจริง เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย รวมถึงเกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ ตามมา ตั้งแต่โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ แต่ถ้าเราบริโภคน้ำตาลอย่างพอดี ก็ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะน้ำตาลให้พลังงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลดีต่อสมองและอวัยวะต่างๆ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้รู้สึกตื่นตัว

นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด รวมทั้งมีประโยชน์ในทางยาและทางการแพทย์ เช่น ใช้รักษาบาดแผลหรือใช้ในการแพทย์ และช่วยถนอมอาหาร ดังนั้นการบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม จะไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายอย่างที่เข้าใจผิดกัน

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

ปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคต่อวันไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัม สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป แต่จะแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่มวัย โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่รับน้ำตาลที่เติมเข้าไปในอาหารหรือเครื่องดื่มไม่เกิน 10% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน และให้ลดลงเหลือไม่เกิน 5% จะดีที่สุด 

ความเชื่อที่ 2 นมวัวไม่ดีต่อสุขภาพ

ความจริง นมวัวมีแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง มีโปรตีนคุณภาพสูงช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เช่น แคลเซียม วิตามินบี 12 และวิตามินดี นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มนมวัวอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนได้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

อย่างไรก็ตาม นมวัวอาจมีผลเสียต่อสุขภาพสำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสไม่ได้ หรือแพ้โปรตีนในนมวัว ซึ่งอาจมีอาการท้องอืด ท้องเสีย และอาการแพ้ต่าง ๆ ได้

ความเชื่อที่ 3 คาร์โบไฮเดรตคือศัตรู

ความจริง เป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมายาวนานว่าเราควรเลี่ยงการกินแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แต่ในความเป็นจริง คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับร่างกายและสมองของคุณ สิ่งที่สำคัญคือประเภทของคาร์โบไฮเดรตที่เราเลือกบริโภค ซึ่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพมาจากธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี ผัก และผลไม้ และควรจำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน และขนมปังขาว

ความเชื่อที่ 4 ไขมันทำให้อ้วน

ความจริง ความเชื่อที่ว่าการกินไขมันทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้นเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว เพราะไขมันดีที่พบในอะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก และปลา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของร่างกาย การบริโภคไขมันเหล่านี้ในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

สิ่งที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาจากพลังงานหรือแคลอรี ที่บริโภคเข้าไป มีปริมาณมากกว่าแคลอรีที่ใช้ไป เพราะร่างกายจะเปลี่ยนแคลอรีส่วนเกินนั้นไปเก็บไว้ในรูปของไขมัน ดังนั้นการบริโภคแคลอรีที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นจากสารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรต ก็เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำหนักเพิ่มขึ้นนั่นเอง

...

ความเชื่อที่ 5 ไข่แดงไม่ดีต่อสุขภาพ

ความจริง เป็นเวลาหลายปีที่ไข่แดงถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายเนื่องจากมีคอเลสเตอรอลสูง แต่การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า คอเลสเตอรอลในอาหารมีผลกระทบต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดน้อยมากสำหรับคนส่วนใหญ่ ไข่เป็นอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และจัดว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดราคาประหยัดที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย

ความเชื่อที่ 6 ต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อให้ได้โปรตีนเพียงพอ

ความจริง แม้ว่าเนื้อสัตว์จะเป็นแหล่งโปรตีนสมบูรณ์ที่ดี แต่เราก็สามารถรับโปรตีนจากอาหารมังสวิรัติหรือวีแกนได้ ด้วยการบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ ถั่วแระญี่ปุ่น เทมเป้ รวมถึงโปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ อย่างถั่วลันเตา ถั่วเลนทิล ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืช และธัญพืชไม่ขัดสีเข้าไว้ในอาหาร อาหารจากพืชที่สมดุลสามารถให้โปรตีนที่สมบูรณ์ได้อย่างเต็มที่ แต่ต้องกินอาหารเหล่านี้รวมกันอย่างหลากหลาย

ความเชื่อที่ 7 กินอาหารตอนดึกทำให้อ้วน

ความจริง เวลาในการกินอาหารมีความสำคัญน้อยกว่าคุณภาพและปริมาณโดยรวมของสิ่งที่เราบริโภคเข้าไป ตราบใดที่ "พลังงานเข้าเท่ากับพลังงานออก" การกินตอนดึกก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือปริมาณและส่วนประกอบของอาหารว่างยามดึก และปริมาณพลังงาน (แคลอรี) ที่บริโภคโดยรวมในแต่ละวันต่างหาก

ความเชื่อที่ 8 การอดอาหารช่วยลดน้ำหนัก

ความจริง การอดอาหารทำให้การเผาผลาญช้าลง และอาจนำไปสู่การกินมากเกินไปในภายหลัง ดังนั้นการกินอาหารและของว่างที่สมดุลอย่างสม่ำเสมอจะดีต่อน้ำหนักตัวมากกว่า เพื่อรักษาระดับพลังงานให้คงที่และควบคุมความอยากอาหารของเรา

...

ความเชื่อที่ 9 แหล่งโปรตีนทุกชนิดมีค่าเท่ากัน

ความจริง โปรตีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย แต่แหล่งโปรตีนไม่ได้มีค่าเท่ากันทั้งหมด โดยโปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อไม่ติดมัน ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์นม เป็นแหล่ง "โปรตีนสมบูรณ์" (Complete Proteins) ซึ่งมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน

ขณะที่ โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วชนิดต่างๆ และถั่วเลนทิล ยกเว้นถั่วเหลือง ไม่ใช่โปรตีนสมบูรณ์ ซึ่งขาดกรดอะมิโนจำเป็นไปหนึ่งหรือสองชนิด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชและพืชตระกูลถั่วต่างๆ รวมเข้าด้วยกันก็สามารถทำให้เกิดโปรตีนสมบูรณ์ที่จำเป็นต่อร่างกายได้

ความเชื่อที่ 10 กินซูชิช่วยลดน้ำหนัก

ความจริง อย่าให้ชิ้นพอดีคำหลอกเราได้ เพราะการกินซูชิจำนวนหลายชิ้นอาจมากพอๆ กับการกินข้าวหนึ่งถ้วยหรือมากกว่านั้น และยังมีโซเดียมจากโชยุอีกด้วย

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

อย่างไรก็ตาม ซูชิสามารถเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพได้ในปริมาณที่พอเหมาะ หรือเปลี่ยนจากข้าวขาวที่ขัดสีเป็นข้าวกล้องแทนและลดปริมาณการจิ้มซอสโชยุลงเพื่อลดโซเดียม

...

ความเชื่อที่ 11 การกินมังสวิรัติดีต่อสุขภาพ

ความจริง คุณภาพของอาหารมังสวิรัติและอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติขึ้นอยู่กับการเลือกอาหารของเรา อาหารมังสวิรัติที่ใช้การทดแทนเนื้อสัตว์ด้วยอาหารทอดหรือชีส อาจมีไขมันสูงและมีสารอาหารที่จำเป็นต่ำ

หากต้องการรักษาสุขภาพโดยไม่กินเนื้อสัตว์ ควรเลือกกินแหล่งโปรตีนที่ดีอย่างถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี ผลิตภัณฑ์นม เช่น โยเกิร์ตกรีก ไข่ และธัญพืช

ความเชื่อที่ 12 อาหารออร์แกนิกดีต่อร่างกายมากกว่า

ความจริง ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากอาหารออร์แกนิกอาจคุ้มค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหารและความชอบของเรา เมื่อซื้อผักและผลไม้ ให้พิจารณาว่ายังมีสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างหลังการล้างหรือไม่

หากต้องการซื้ออาหารออร์แกนิก ให้เน้นที่กลุ่ม "Dirty Dozen™" ซึ่งเป็นผักและผลไม้ที่มีสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างมากที่สุด เช่น สตรอว์เบอร์รี่ ผักโขม และแอปเปิล แต่สำหรับกลุ่ม "Clean Fifteen™" อาหารที่มีสารตกค้างน้อยที่สุด เช่น อะโวคาโด ข้าวโพด และสับปะรด อาจไม่จำเป็นต้องซื้อแบบออร์แกนิก

ความเชื่อที่ 13 น้ำอัดลมแบบไดเอทดีกว่าน้ำอัดลมทั่วไป

ความจริง มีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ว่าน้ำอัดลมแบบไดเอทอาจไม่ดีต่อสุขภาพพอๆ กับน้ำอัดลมทั่วไป งานวิจัยได้เชื่อมโยงน้ำอัดลมไดเอทกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวาน ภาวะเมตาบอลิซึมผิดปกติ และโรคอ้วน

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

หากมองหาสิ่งทดแทนน้ำอัดลม แนะนำให้ลองดื่มน้ำโซดาแบบสปาร์คกลิ้ง (sparkling water) หรือชาที่ไม่มีรสหวานแทน แต่ระวังเครื่องดื่มเกลือแร่ ชาที่มีรสหวาน และน้ำมะนาว เพราะส่วนใหญ่เต็มไปด้วยน้ำตาล

ที่มา: Loyola Medicine, The University of Queensland