ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย ด้วยเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นและประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า โดยหนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญ คือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นรากฐานของทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ทำให้เกิดแหล่งผลิตอาหารกระจายทั่วประเทศ สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประชาชนและประเทศชาติจนทุกวันนี้
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงเคยมีพระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาและแม่แห่งชาติในแต่ละปีช่วงที่ผ่านมา เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารดังกล่าว โดยบันทึกไว้บางส่วนในเว็บไซต์โครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดังนี้
พระราชดำรัสเกี่ยวกับการดูแลป่าไม้ แผ่นดินแม่ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535
“…เราเรียกแผ่นดินนี้ว่า “แผ่นดินแม่” เพราะแผ่นดินนี้เป็นที่เกิด และเลี้ยงดูคนไทยมากว่า 700 ปี ควรที่เราทั้งหลายจะบำรุงรักษาแผ่นดินให้คงความอุดมสมบูรณ์ไว้ ถ้าเรามัวแต่ตักตวงผลประโยชน์จากผืนดิน เช่น เอาแต่ตัดไม้ขายจนป่าสูญสิ้นไป ใช้ยาฆ่าแมลงและฆ่าวัชพืชจนดินเสียหมด หรือทิ้งของเสียสิ่งปฏิกูลลงไปในแม่น้ำลำคลองโดยไม่ห่วงใยแผ่นดินเลย
…สักวันหนึ่งแผ่นดินแม่คงตายจากเราไปโดยไม่มีวันหวนกลับคืนมา คงเหลือไว้ซึ่งพื้นดินที่แห้งแล้ง สิ้นสภาพจากการเป็นดินที่จะทำการเพาะปลูกได้…”
ด้วยพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทรงฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและพันธุ์สัตว์น้ำให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เพื่อเป็นอู่น้ำ คุณภาพดีสำหรับอุปโภคบริโภค และเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีน ให้คนไทยอย่างยั่งยืนต่อไป ในปี 2533 จึงมีพระราชดำริดำเนินโครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทยขึ้นมา โดยมีกรมประมงรับสนองพระราชดำริ สามารถเพาะเลี้ยงปลาไทยได้เกือบทุกชนิด โดยมีพระราชดำรัสในเรื่องนี้ ไว้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2542 ดังนี้
...
“…ในแม่น้ำลำคลอง พวกเราก็ทิ้งของเสีย
…ทิ้งลงไปทำให้ของที่หายากอยู่แล้ว คือน้ำจืดก็เสียไป น้ำเน่า แม่น้ำเจ้าพระยาก็เน่าไปเยอะ และการเน่าของแม่น้ำเจ้าพระยาก็หมายถึงการสูญเสีย สูญสิ้นพันธุ์ปลาต่างๆ ไปหลายสายพันธุ์
…ซึ่งอันนี้น่าตกใจมาก เพราะว่าพวกเราก็รับประทานปลา ปลาดูจะเป็นอาหารที่ถูกที่สุดสำหรับคนยากคนจน เราก็ปล่อยให้ปลาสูญไปหลายสายพันธุ์แล้ว…”
และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2546 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสำคัญของป่าชายเลนดังนี้
“…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สอนข้าพเจ้าเสมอว่า ป่าชายเลนนี้ให้ช่วยกันระวังรักษา เพราะป่าชายเลนนี้ เหมือนสถานอนุบาลของสัตว์น้ำเล็กๆ ตอนที่เขายังเล็กๆ ไม่สามารถเลี้ยงตัวได้
…การที่มีป่าชายเลนนี้ ก็ทำให้เขาเลี้ยงตัวได้ แล้วรอดชีวิตเป็นปลาใหญ่ขึ้นมาเป็นกุ้งใหญ่ ปูใหญ่ เจริญเติบโต แล้วก็เป็นอาหารของมนุษย์ต่อไป
…แต่ถ้าไม่มีป่าชายเลนแล้ว พันธุ์ปลา พันธุ์กุ้ง พันธุ์ปู ก็คงจะค่อยๆ สูญไป…”
พระพันปีหลวง ยังทรงเล่าถึงโครงการปะการังเทียม ไว้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2548 ความตอนหนึ่งว่า
“…ประชาชนก็มาคอยดักพบแล้วบอกว่า ท่านเดี๋ยวนี้นะพวกเรายิ่งยากจนขึ้นทุกที เพราะว่าออกเรือออกไปในท้องทะเลหาปลา จะตกปลาสำหรับมารับประทานและสำหรับขายก็ไม่มีปลา พวกเรามีแต่เรือ ชนิดที่เรียกว่าเล็กไม่ใช่เรือใหญ่ เป็นชาวประมงทั่วๆ ไปที่ยังยากจน
…เคราะห์ดีจำได้ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่งว่า ประเทศไทยมีนักวิชาการต่างๆ ที่เก่งมากเก่งเหลือเกิน ข้าพเจ้าก็เลยเชิญนักวิชาการต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 มาร่วมกัน
…ทางประมงก็บอกว่าลองดู ลองทรงทิ้งปะการังเทียมไป ซึ่งสามารถจะช่วยให้มีปลาในที่ตื้นๆ
…หลังจากการทิ้งปะการังเทียมไปแล้วประมาณสักเกือบเดือน ก็ลองส่งเจ้าหน้าที่ประดาน้ำลงไปถ่ายภาพ ก็พบว่าปลานานาชนิดมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากที่ปะการังเทียม
…เช่น ปลาช่อนทะเล ปลาเก๋า ปลากะพงชนิดต่างๆ
…ราษฎรก็มาหาข้าพเจ้า มาเล่าให้ฟังว่า จากที่ไม่สามารถจะจับปลาได้ และรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว เดี๋ยวนี้จับปลาได้มาก มีรายได้เดือนละกว่า 1 หมื่นบาท น่าปลื้มที่สุด…”
นอกจากนี้ ยังมีโครงการฟาร์มทะเลตัวอย่าง ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ณ ตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยทรงมีพระราชดำรัสไว้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2553
“…ฟาร์มทะเลตัวอย่างนี้ จะเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลและพืชทนเค็มนานาพันธุ์ เพื่อให้ชาวประมงและผู้สนใจได้ใช้เป็นแหล่งศึกษาและเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นต่อไป และยังเป็นที่ที่ช่วยให้คนมีงานทำเพิ่มขึ้นด้วย
…ซึ่งข้าพเจ้าหวังว่า ต่อไปจะช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเล และเป็นอาหารให้กับประชาชนได้…”