แม้ว่า กรีกโยเกิร์ต จะเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรกินกรีกโยเกิร์ตคู่กับอาหารบางชนิด เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรับประทานกรีกโยเกิร์ตได้ ใครที่ควรเลี่ยงบ้าง เพราะอะไร
กรีกโยเกิร์ตไม่ควรกินคู่กับอะไร
1. เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม
เพราะเนื้อแปรรูปมักมีสารไนเตรต (Nitrate) ซึ่งเมื่อรวมกับกรดอินทรีย์ในโยเกิร์ต อาจเกิดปฏิกิริยาและกลายเป็นสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้หากรับประทานเป็นประจำในระยะยาว
2. ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
กรีกโยเกิร์ตมีแคลเซียมสูง แต่ถั่วเหลืองมีสาร ไฟเตต (Phytate) ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ไม่เต็มที่
3. อาหารที่หวานจัด
...
เช่น น้ำตาลทรายขาว, ซีเรียลเคลือบน้ำตาล, ผลไม้กระป๋องในน้ำเชื่อม เนื่องจากกรีกโยเกิร์ตมีน้ำตาลต่ำและโปรตีนสูง แต่การเติมน้ำตาลในปริมาณมากจะทำให้พลังงานและน้ำตาลพุ่งสูงขึ้น ทำลายจุดเด่นด้านสุขภาพ และอาจส่งผลเสียต่อการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่มีภาวะเบาหวาน
4. อาหารทอด หรืออาหารที่มีไขมันจัด
เพราะอาจทำให้ท้องอืดและย่อยยากขึ้น
5. อาหารที่ร้อนจัด
เพราะความร้อนสูงอาจทำลายจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ (Probiotics) ในโยเกิร์ต ทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลง
ใครที่ควรเลี่ยงการกินกรีกโยเกิร์ตบ้าง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถรับประทานกรีกโยเกิร์ตได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเหล่านี้
1. ผู้ที่แพ้นมวัว
กรีกโยเกิร์ตทำจากนมวัว แม้จะมีแลคโตสต่ำ แต่ก็ยังมีโปรตีนจากนมวัว (เคซีน) ที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น ลมพิษ หายใจลำบากได้
2. ผู้ที่มีภาวะแพ้แลคโตส ที่มีอาการรุนแรง
แม้กรีกโยเกิร์ตจะมีปริมาณแลคโตสต่ำกว่าโยเกิร์ตทั่วไป แต่ผู้ที่มีอาการแพ้แลคโตสรุนแรงก็อาจยังมีอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือไม่สบายท้องได้ แนะนำว่าควรเลือกสูตรที่ระบุว่า "แลคโตสฟรี" หรือโยเกิร์ตจากพืชแทน
3. ผู้ที่ต้องควบคุมไขมันหรือคอเลสเตอรอลอย่างเคร่งครัด
ควรเลือกกรีกโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ (Low-fat) หรือไม่มีไขมัน (Non-fat) แทนสูตร Full Fat หรือแบบดั้งเดิม เพราะอาจมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูงกว่า
ดังนั้น หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยา ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริโภคกรีกโยเกิร์ตด้วย
กรีกโยเกิร์ต ควรกินเวลาไหนดีที่สุด
การกินกรีกโยเกิร์ตให้ได้ประโยชน์สูงสุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายสุขภาพของเรา เนื่องจากกรีกโยเกิร์ตมีจุดเด่นเรื่องโปรตีนสูง และมีโพรไบโอติก (Probiotics) จึงมีช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป
1. ตอนเช้า หรือตอนท้องว่าง
- เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับระบบขับถ่ายและการดูดซึม เพราะการกินกรีกโยเกิร์ตตอนท้องว่างช่วยให้จุลินทรีย์ที่ดี (โพรไบโอติก) ผ่านไปยังลำไส้ได้ดีขึ้น และเริ่มทำงานในการจัดระเบียบสมดุลของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ
- รวมทั้งร่างกายจะสามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์จากโยเกิร์ตได้อย่างเต็มที่ โปรตีนสูงในกรีกโยเกิร์ตจะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก และให้พลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่
2. หลังออกกำลังกาย
...
- เป็นเวลาดีที่สุดสำหรับการสร้างและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เพราะกรีกโยเกิร์ตมีโปรตีนสูงมาก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการหลังการออกกำลังกาย เพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ (Recovery) อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่รับประทานได้ง่ายและรวดเร็ว
3. ก่อนนอน
- เวลานี้ดีที่สุดสำหรับความผ่อนคลายและการฟื้นฟูร่างกาย เพราะกรีกโยเกิร์ตมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า ทริปโตเฟน (Tryptophan) ที่ใช้ในการสร้างฮอร์โมนเซโรโทนินและเมลาโทนิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการนอนหลับและความผ่อนคลาย
- รวมทั้งมีโปรตีนสูงช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง ไม่หิวยามดึก ทำให้ลดโอกาสในการรับประทานอาหารที่ไม่จำเป็นก่อนเข้านอน ร่างกายจะใช้โปรตีนจากกรีกโยเกิร์ตในการฟื้นฟูและเสริมสร้างกล้ามเนื้อในช่วงที่ร่างกายพักผ่อน
สรุปคือ หากเน้นเรื่องระบบขับถ่ายและการลดน้ำหนัก ควรกินกรีกโยเกิร์ตตอนเช้า เพราะเป็นช่วงท้องว่าง หากเน้นเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ ควรกิน หลังออกกำลังกาย และหากเน้นเรื่องการนอนหลับและความอิ่มในช่วงกลางคืน ควรกินก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกกินกรีกโยเกิร์ตเวลาไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกรสธรรมชาติ ที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด