"มัทฉะ" (ภาษาอังกฤษ : Matcha) กลายเป็นเครื่องดื่มสุดฮิตของคนรุ่นใหม่ รวมถึงในกลุ่มคนรักสุขภาพ ปัจจุบันมีการนำมัทฉะมาประยุกต์ใช้รังสรรค์เมนูต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องดื่มและขนมหวานในคาเฟ่ที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ด้วยรสชาติขมละมุน กลิ่นหอมเฉพาะ และคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้มัทฉะถูกยกให้เป็นเครื่องดื่มสายเฮลท์ตี้ที่หลายคนเลือกดื่ม
ไทยรัฐออนไลน์ จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก "มัทฉะ" คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง รวมไปถึงมีความแตกต่างจาก "ชาเขียว" อย่างไรบ้าง ติดตามได้ที่นี่
ชวนรู้จัก "มัทฉะ" คืออะไร
มัทฉะ คือ ผงชาละเอียดที่ผลิตจากใบชาเขียวสายพันธุ์ญี่ปุ่น โดยต้นชาจะถูกคลุมแดดก่อนเก็บเกี่ยว 2-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มสารคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน (โดยเฉพาะ L-theanine) จากนั้นนำใบชาไปนึ่ง หยุดการหมัก อบแห้ง แล้วบดด้วยหินจนได้ผงเนื้อละเอียดสีเขียวสด (แตกต่างจาก "ชาเขียวทั่วไป" ที่ชงแบบกรองน้ำ) เพราะมัทฉะจะถูกชงและดื่มทั้งใบในรูปแบบผง ทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นกว่านั่นเอง
...
"มัทฉะ" มีกี่แคลอรี กินเพื่อลดน้ำหนักได้ไหม
มัทฉะแท้ 1 ช้อนชา (ประมาณ 2 กรัม) ให้พลังงานเพียง 5-10 แคลอรี เท่านั้น ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับกาแฟหรือเครื่องดื่มน้ำหวานอื่นๆ แต่หากนำมาชงกับนมและเติมน้ำตาล ความหวานและไขมันก็จะทำให้แคลอรีในมัทฉะเพิ่มขึ้นสูง
ดังนั้น ใครที่ต้องการดื่มมัทฉะเพื่อลดน้ำหนัก แนะนำดื่ม "เพียวมัทฉะ" ซึ่งมีสารแคทีชิน (Catechins) ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ดื่มแบบไม่ใส่นมและน้ำตาล ก็จะสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้
ไขข้อสงสัย "มัทฉะ" ควรกินตอนไหน
แนะนำดื่มมัทฉะในช่วงเช้าหรือก่อนเริ่มทำงาน เนื่องจากเครื่องดื่มมัทฉะมีคาเฟอีนและสาร L-theanine ที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ทำให้มีสมาธิโฟกัสได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถดื่มก่อนออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพลังงานได้ แต่ไม่ควรดื่มก่อนนอนเพราะอาจทำให้นอนหลับยาก แต่หากใครที่ร่างกายมีความเซนซิทีฟต่อคาเฟอีน ไม่แนะนำให้ดื่มตอนท้องว่าง ควรดื่มพร้อมกับขนมหรือของว่างอื่นๆ
ประโยชน์ของ "มัทฉะ" ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
เครื่องดื่มมัทฉะไม่ได้มีเพียงความหอมกรุ่นและรสหวานอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มแก้วโปรดของสายเฮลท์ตี้หรือกลุ่มคนรักสุขภาพ
1. เพิ่มสมาธิและลดความเครียด
มัทฉะมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งชื่อว่า L-theanine ซึ่งพบมากกว่าชาเขียวทั่วไปหลายเท่า L-theanine จะทำงานร่วมกับคาเฟอีนในมัทฉะ ทำให้ร่างกายตื่นตัวอย่างมีสมดุล ไม่เกิดอาการใจสั่นหรือกระสับกระส่ายเหมือนการดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังช่วยปรับคลื่นสมองให้อยู่ในสภาวะผ่อนคลาย ทำให้มีสมาธิยาวนานขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการใช้สมองในการเรียนหรือทำงาน
2. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
มัทฉะจัดว่าเป็นแหล่งของสาร แคทีชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง โดยเฉพาะ EGCG (Epigallocatechin Gallate) ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสื่อม ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระยังมีบทบาทช่วยชะลอวัย และทำให้ผิวพรรณดูสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
3. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
หนึ่งในเหตุผลที่มัทฉะได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพคือคุณสมบัติในการช่วยเผาผลาญพลังงาน สารแคทีชินและคาเฟอีนในมัทฉะสามารถกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ช่วยเผาผลาญไขมันสะสมให้เป็นพลังงานได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยบางชิ้นยังระบุว่าการดื่มมัทฉะควบคู่กับการออกกำลังกาย อาจช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่ม
4. บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
มัทฉะไม่ได้เพียงแค่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญ แต่ยังมีผลดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดด้วย สารแคทีชินสามารถช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และอาจเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ส่งผลให้ลดความเสี่ยงการเกิดหลอดเลือดตีบ หัวใจวาย หรือโรคความดันโลหิตสูงได้ เมื่อดื่มอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่เหมาะสม
5. ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย
กระบวนการปลูกมัทฉะต้องคลุมแดดก่อนเก็บเกี่ยว ทำให้ใบชามีปริมาณ คลอโรฟิลล์ สูงเป็นพิเศษ คลอโรฟิลล์มีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารพิษบางชนิด ขับของเสียออกจากร่างกาย และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่ามากขึ้นอีกด้วย
...
ข้อควรรู้ "มัทฉะ" มีโทษอะไรบ้าง
แม้ว่ามัทฉะจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และมีโทษต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน เช่น
- คาเฟอีนสูง : หากดื่มมากเกินไป อาจทำให้ใจสั่น กระสับกระส่าย หรือความดันสูง
- กระทบการดูดซึมธาตุเหล็ก : การดื่มมัทฉะหลังอาหารทันทีอาจลดการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด
- อาจมีสารปนเปื้อน : หากมัทฉะไม่ได้คุณภาพ อาจปนเปื้อนโลหะหนักหรือสารเคมีจากการเพาะปลูก จึงควรเลือกมัทฉะคุณภาพดี และดื่มในปริมาณเหมาะสม (วันละ 1–2 แก้ว)
รู้หรือไม่ "มัทฉะ" ต่างกับ "ชาเขียว" อย่างไร
ทุกวันนี้หลายคนอาจคุ้นเคยกับ "มัทฉะ" และ "ชาเขียว" จนคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว เครื่องดื่มทั้งสองชนิดมีความแตกต่างที่น่าสนใจมากกว่าที่คิด ก่อนจะเลือกดื่มครั้งต่อไป มาลองทำความเข้าใจว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
1. วิธีการปลูกและผลิต
มัทฉะจะปลูกแบบ "คลุมแดด" ก่อนเก็บเกี่ยว 2–4 สัปดาห์ ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้ม และสะสมสารอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะคลอโรฟิลล์และ L-theanine ส่วนชาเขียวทั่วไปจะปลูกกลางแดดและเก็บใบมาผ่านกระบวนการอบแห้งหรือคั่ว แล้วนำไปชงน้ำร้อน
2. วิธีดื่ม
มัทฉะเป็นผงชาละเอียดที่ต้องละลายน้ำแล้วดื่มทั้งใบในรูปแบบผง จึงได้รับคุณประโยชน์แบบเต็มๆ ส่วนชาเขียวทั่วไปเป็นการชงน้ำแล้วกรองใบออก ทำให้ปริมาณสารอาหารที่ได้รับน้อยกว่า
3. รสชาติและเนื้อสัมผัส
มัทฉะมีรสเข้มข้น ขมเล็กน้อยแต่กลมกล่อม และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขณะที่ชาเขียวทั่วไปมีรสเบากว่า ดื่มง่าย สดชื่น แต่ไม่เข้มข้นเท่ามัทฉะ
...
4. คุณค่าทางโภชนาการ
มัทฉะมีกรดอะมิโนสูงกว่าชาเขียวทั่วไปหลายเท่า ทำให้มัทฉะมักถูกยกให้เป็นชาเขียวเกรดสูงชนิดหนึ่ง เพราะมีการปลูกและแปรรูปเฉพาะ ทำให้มีสารอาหารเข้มข้นกว่าชาเขียวทั่วไป
สรุปมัทฉะ คือ ผงชาเขียวเกรดพรีเมียมจากญี่ปุ่นที่มีสารอาหารเข้มข้น ช่วยเพิ่มสมาธิ ต้านอนุมูลอิสระ หากเลือกมัทฉะคุณภาพดีและดื่มอย่างถูกวิธี ก็สามารถเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจในชีวิตประจำวันได้ แต่ก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและรับประทานอาหารที่มีสารประโยชน์ชนิดอื่นควบคู่ไปด้วย