คงเป็นโอกาสที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ถ้าหากในดินเนอร์สุดพิเศษมื้อนั้นของคุณ เป็นดินเนอร์ที่อาหารของทุกเมนู เกิดขึ้นจากการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันของเชฟฝีมือดีถึง 3 คน
แม้ว่า อาหารทุกจานที่นำมาเสิร์ฟนั้น จะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน มีการเดินทางและการเติบโตของอาหารที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด และมีความคล้ายคลึงก็คือ แพสชันที่มีต่อ “อาหาร”
ในค่ำคืนนั้น เป็นการรวมตัวกันของเชฟ 3 คน ซึ่งพวกเขาตั้งใจเพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยทำอาหารร่วมกันเมื่อ 10 ปีก่อน โดยในค่ำคืนนั้นมันจึงถูกเรียกว่า The Good Old Times ที่ร้าน Coda Bangkok
เชฟ 3 คนที่ว่านั้น คือ เชฟแท๊ป-ศุภสิทธิ์ ก๊กผล พ่อครัวชาวไทย ที่มีความโดดเด่นในอาหารซีฟู้ด จากการเติบโตที่มหาชัย ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นแหล่งรวมวัตถุดิบอาหารทะเลชั้นยอด และได้รับอิทธิพลทางอาหารจากคุณแม่ ที่เคยเปิดร้านมหาชัยซีฟู้ด
คนที่สอง คือ เชฟไฮเคิล โจฮารี (Haikal Johari) เปรียบได้กับอาจารย์ของเชฟแท๊ป เป็นคนที่ประสิทธิ์ประสาทวิทยายุทธ์ด้านการอาหารให้กับเชฟแท๊ปตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่วงการอาหาร อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าเชฟของร้าน Alma by Juan Amador ร้านอาหาร 1 ดาวมิชลิน ในประเทศสิงคโปร์
คนที่สาม เชฟมีร์โก เคลเลอร์ (Mirco Keller) จากร้าน Keller Bangkok เติบโตที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี โดยอาหารของเชฟเคลเลอร์ เน้นความเรียบง่าย แต่สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้าได้เสมอ
...
ทั้งสามคนมารวมตัวกันที่ร้าน Coda Bangkok พร้อมเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำคืนที่มีชื่อว่า The Good Old Times อีกทั้งยังเป็นค่ำคืนที่จะได้ลองลิ้มชิมรสอาหาร ซึ่งทำร่วมกันของเชฟ 3 คน 6 มือ (Six-hand collaboration)
Snacks
อาหารจานแรกที่ถูกเสิร์ฟเป็น Snacks เริ่มจาก Chutoro จานของเชฟไฮเคิล ซึ่งด้านล่างสุดเป็นเมอแรงค์ ที่มีรสเปรี้ยวและหวานอย่างลงตัว โดยมีเนื้อปลาแซลมอนในส่วนชูโทโร ที่มีไขมันขนาดกลาง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะได้สัมผัสถึงความสดชื่น
Snacks จานที่สองเป็นของเชฟแท๊ป ในชื่อ Scallop ถูกเสิร์ฟออกมาในลักษณะเปลือกหอย น่ารับประทาน ด้านในเป็นหอยเชลล์ญี่ปุ่น ผัดด้วยน้ำพริกเผาและครีมโหระพา โดยที่กลิ่นของครีมคล้ายกับกลิ่นของผัดหอยลาย และแป้งที่ทำเป็นเปลือกหอย มีความหอม และความกรอบ
Snacks จานสุดท้ายเป็นของเชฟเคลเลอร์ ซึ่งมาในชื่อ Berliner Senfei โฟมมันฝรั่งรมควัน ไข่เป็ดแดง และมัสตาร์ดซอส ด้านบนมีบีทรูทดองและ Oscietra Caviar จากหัวหิน โดยรวมแล้วเป็นอาหารที่มีรสชาติกลมกล่อมดีทีเดียว
Starter
Ōra King Salmon
...
ผลงานของเชฟเคลเลอร์ ซึ่งได้เลือกแซลมอนจากประเทศนิวซีแลนด์ ผ่านการดราย แล้วเอาไปย่างในความร้อนที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อให้ได้รสของแซลมอนที่นุ่ม และเพิ่มความวาไรตี้ของจานนี้ด้วยขนมปังธัญพืช
Obsiblue prawns
เชฟไฮเคิล ใช้เส้น Cold cappelini pasta ท็อปด้วยกุ้งสีฟ้า หรือ Obsiblue Prawns, ไข่หอยเม่น Bafun Uni แล้วจบด้วยผิวส้มยูสุ ในภาพรวมเส้นสุกไปนิดหนึ่ง และอาจไม่ถูกใจคนที่ไม่ชอบกลิ่นคาวของไข่หอยเม่น
Grilled Squid
...
ผลงานของเชฟแท๊ป จานนี้นับว่า เป็นเมนูที่อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ หมึกที่นำมาเสิร์ฟส่งตรงจากมหาชัย ผ่านการเอาไปย่างไฟอ่อน รสชาติกรุบกรอบกำลังดี รับประทานคู่กับซอส ซึ่งน่าจะมาจากส่วนผสมระหว่างแอปเปิล, มะเขือเทศ และหัวหอม เปรียบเทียบให้ง่ายที่สุด คล้ายกับซอสที่ราดบนทาโกะยากิ และมีแคร็กเกอร์ Black Ink
Kegani
เชฟไฮเคิล ใช้ปูขนจากฮอกไกโด เสิร์ฟกับครีมหัวหอม ซึ่งให้ความนุ่ม ความหวาน และความหอม ด้านล่างจะมี โฟมเกาลัด ด้านบนจะมีเยลลี่หัวหอม และ Oscietra caviar
Blackfin Seabass
...
เชฟเคลเลอร์ เสิร์ฟปลา Blackfin Seabass รสนุ่มอร่อยกำลังดี ไม่มีกลิ่นคาว อีกทั้งยังทำให้หนังปลากรอบอร่อย ชนิดที่ว่า แม้แต่คนที่ไม่กินหนังปลา ยังต้องกินหนังปลาจากจานนี้ ทั้งนี้ ตัวปลา Blackfin Seabass ส่งตรงจากญี่ปุ่น ด้านล่างมี เพียวเร่ Parsni, ด้านบนจะมี Shishito pepper ตัวซอสจะเป็นเบอร์บลองก์ (Beurre blanc)
Main course
Dry-aged Duck
เป็ดของจานนี้ เชฟแท๊ปได้นำไปผ่านการดรายเอจมาเป็นระยะเวลา 8 วัน ตัวหนังของเป็ดกรอบเหมือนรับประทานหมูกรอบ ตัวซอสเป็นรสกาแฟ เสิร์ฟคู่กับเค้กหอมใหญ่ ให้รสชาติคล้ายกับขนมกุยช่ายทอด
Wagyu Beef
เมนูสุดท้าย ใช้เนื้อจากออสเตรเลีย โดยใช้ส่วนริบอาย ย่างในระดับความสุกที่มีเดียมแรร์ ด้านข้างมี มะม่วงสุกจากญี่ปุ่น, เจลมะม่วง และผักบ๊อกฉ่อยสด ตัวซอสจะเป็นซอสไขกระดูก หรือ Bone Marrow Sauce
Dessert
เสร็จสิ้นจากของคาวไปแล้ว ทางร้านได้เสิร์ฟของหวานอีก 3 จานใหญ่ๆ แบ่งเป็น เมนู Green Mango ที่ได้แรงบันดาลใจจากมะม่วงน้ำปลาหวาน ด้านล่างมีวิปมะพร้าว ตามด้วย มะม่วงแรดที่นำไปทำเป็นไอศกรีมซอร์เบ ปิดด้วยชิปด้านบนสุด ซึ่งทำมาจากกุ้งป่น และมะม่วงแรดสด
ต่อมาเป็น Coconut ซึ่งใช้แรงบันดาลใจจากของหวานที่รู้จักกันดีอย่างขนมครองแครงน้ำกะทิ มีมูสมะพร้าว และมะพร้าวอบกรอบ ส่วนไอศกรีมทำจากน้ำตาลมะพร้าวไหม้ โดยรวมของจานนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรับประทานลอดช่องวัดเจษฯ
สุดท้ายเป็นของหวานที่มีชื่อว่า Petit Fours แบ่งเป็น คานาเล ของเชฟไฮเคิล, ขนมชั้นของเชฟแท๊ป และ dark chocolate sesame truffle โดยเชฟเคลเลอร์
ตั้งแต่อาหารจานแรก ซึ่งถูกเสิร์ฟราวหนึ่งทุ่มเศษ มาจนถึงของหวานจานสุดท้าย ถูกบรรจงวางลงบนโต๊ะในเวลาสี่ทุ่มโดยประมาณ ภาพรวมค่ำคืนสุดพิเศษ ที่เป็นการรวมตัวกันของสามเชฟ ที่ Coda Bangkok เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่สามารถกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “อร่อยทุกจาน” ถ้าจะให้ติก็คงมีเรื่องเดียวก็คือ รสชาติอาหาร “เค็ม” ไปสักหน่อย นอกนั้นแล้ว ทุกจานทำได้ดีน่าประทับใจ