วิเศษ สิงห์สัจจเทศ
เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทย ที่ยืนหยัดอยู่ได้มาเกือบ 5 ทศวรรษ โดยไม่ถูกคลื่นลมซัดหายไป ท่ามกลางการแข่งขันขับเคี่ยวรุนแรงทวีคูณ “ยัสปาล” มีกลยุทธ์อะไรในการครองความเป็นหนึ่งมาได้อย่างต่อเนื่อง และในอนาคตจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ให้ได้ฮือฮาอีก มีคำตอบชัดๆจากทายาทรุ่นที่สาม “วิเศษ สิงห์สัจจเทศ” ผู้รับไม้ต่อในการปลุกปั้นแบรนด์ยัสปาลสู่ความเป็นโกลบอลแบรนด์
กว่าจะมี “ยัสปาล” ในวันนี้ ที่สืบทอดยาวนานถึง 4 ชั่วอายุคน ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น “ยัสปาล” ก่อตั้งขึ้นในปี 2490 โดย “ยัสปาล ซิงห์” หนุ่มอินเดียผู้หอบเสื่อผืนหมอนใบเข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินในประเทศไทย จนสามารถสร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่นและเจริญรุ่งเรืองบนผืนแผ่นดินสยาม ด้วยความช่างสังเกตและมีหัวการค้ามาก นายห้างยัสปาลได้ติดต่อ
...
นำเข้าผ้าขนหนูจากอเมริกามาจำหน่ายในเมืองไทยเป็นเจ้าแรก เมื่อเห็นลู่ทางความสำเร็จจึงขยายธุรกิจไปสู่สินค้าเครื่องนอน กระทั่งกิจการใหญ่โตมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ “Santas” ก่อนจะสยายปีกมาสู่การทำแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสำเร็จรูป Jaspal ตามมาด้วยอีกสารพัดแบรนด์คุณภาพอย่าง CPS Chaps, CC-OO, Lyn, Lyn Around, Footwork, Footwork Noir และ Misty Mynx
“ยัสปาลเริ่มจากการนำเข้าเครื่องแต่งกายแฟชั่นและเครื่องประดับในปี 2515 ก่อนจะผันตัวมาผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเองเต็มรูปแบบ ในปี 2523 โดยได้ติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการเย็บเป็นครั้งแรก คุณพ่อ (วิสิทธิ์ สิงห์สัจจเทศ) ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สองของคุณปู่ (ยัสปาล ซิงห์) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการขยายธุรกิจครอบครัวสู่การทำแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสำเร็จรูป โดยพิสูจน์ฝีมือจากการปลุกปั้นแบรนด์ยัสปาลให้เป็นผู้นำแฟชั่นค้าปลีกในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน”...“วิเศษ สิงห์สัจจเทศ” บอกเล่าถึงตำนานความเป็นมา
อะไรทำให้ “ยัสปาล” ครองความเป็นหนึ่งมาได้ถึงปัจจุบัน
ตลอดเวลา 45 ปีที่ผ่านมา ยัสปาลไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง “คุณพ่อวิสิทธิ์” จะลุกขึ้นมารีเฟรชตัวเองตลอดเวลา และเปิดใจพร้อมรับไลฟ์สไตล์ใหม่ของโลกเสมอ แม้จะเป็นแบรนด์สัญชาติไทย แต่เรากล้าหาญและมุ่งมั่นปักธงบริหารด้วยกลยุทธ์หลักที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น คือ การทำงานบนมาตรฐานแบบโกลบอล โดย “ยัสปาล” เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่กล้านำดารานักแสดง และนางแบบชั้นนำระดับโลก มาใช้ในแคมเปญโฆษณาของแต่ละซีซั่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดต่อเซเลบริตี้ระดับโลกเหล่านี้ ถ้าแบรนด์ไม่ได้รับความไว้วางใจเพียงพอ
คุ้มไหมยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อดึงดารานางแบบระดับโลกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์
คุ้มครับ การลงทุนวิธีนี้อาจใช้เงินค่อนข้างสูง แต่สิ่งที่เราต้องการแท้จริงคือ การเป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่นของโลก เพราะเราเป็นแบรนด์ไทย ในวันที่เราคิดโปรเจกต์ใหญ่ขึ้นอินเตอร์มากขึ้น ต้องร่วมงานกับคนในวงการแฟชั่นยุโรป อังกฤษ อเมริกา เขาอาจจะไม่รู้จักและยังไม่เชื่อมั่นในคุณภาพ แต่การที่เราเคยร่วมงานกับดาราหรือนางแบบระดับโลก ตั้งแต่ ซินดี้ ครอว์ฟอร์ด, เคท มอส, ลินดา อีแวนเจอลิสทา, คลอเดีย ชิฟเฟอร์, จิเซล บุนเชน, มิลลา โจโววิช, มิสชา บาร์ตัน, เซลม่า แบลร์, เจสสิก้า สแตม มาจนถึง อเล็กซ่า ชุง ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการแฟชั่น เมื่อเราเข้าไปแนะนำตัวกับใคร ก็สร้างความเชื่อมั่นในการทำงานได้มากขึ้น ทำให้โปรเจกต์ต่อๆมาประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
...
ผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ดีเอ็นเอของยัสปาล ยังเหมือนเดิมไหม หรือเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอย่างไร
ยัสปาลยังคงเน้นความเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ทันสมัย พร้อมนำเสนอเทรนด์ใหม่ในวงการแฟชั่นก่อนใคร โดยปรับให้สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน อีกเรื่องที่เน้นมากคือความคุ้มค่า เสื้อผ้าของยัสปาลจะต้องมีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม เราไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแบรนด์ราคาถูก แต่พูดได้เต็มปากว่าเราคุ้มค่าที่สุด และพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกเนื้อผ้าชั้นดีจากยุโรปมาผลิตสินค้า การควบคุม
คุณภาพในการตัดเย็บ และคัตติ้ง ซึ่งได้มาตรฐานระดับสากลจริงๆ เพราะเป็นโรงงานเดียวกับที่ผลิต
ให้แบรนด์ระดับท็อปๆ เรื่องการดีไซน์เราก็พัฒนาตามเทรนด์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนไปทุกยุค ขณะเดียวกัน การตกแต่งร้านต้องให้ได้บรรยากาศความหรูหราระดับพรีเมียมแบรนด์ เช่นเดียวกับเรื่องการบริการของพนักงานทุกคน ต้องเป็นบริการด้วยหัวใจจริงๆ
ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงของอุตสาหกรรมแฟชั่น อะไรคือความท้าทายของ “ยัสปาล”
...
สมัยก่อนการแข่งขันในวงการแฟชั่นยังไม่รุนแรงเท่าทุกวันนี้ คอนเซปต์ของโปรเจกต์การร่วมมือกับแบรนด์ดังหรือดีไซเนอร์ดังๆก็เน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคแบบกว้างๆ กระทั่งหลายปีมานี้การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ เราจึงต้องปรับกลยุทธ์มาโฟกัสกับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าเป้าหมายแท้จริงของแบรนด์มากขึ้น พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปมาก พวกเขาไม่ได้มองหาแค่สินค้าสักชิ้น แต่มองหาไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกทัศนคติทางความคิด การใช้ชีวิตแบบเฉพาะตัว รวมถึงการแสดงตัวตนในสังคม สิ่งที่เราต้องเร่งทำคือ การศึกษาไลฟ์สไตล์และบุคลิกของลูกค้า เช่น พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ การเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อพิเศษ การเลือกโรงแรมที่พักสำหรับทริปสำคัญ หรือกระทั่งลูกค้าชอบดูหนังประเภทใด ทุกอย่างเป็นโจทย์ท้าทายที่ต้องตอบสนองให้ตรงใจลูกค้าให้ได้
...
ในยุคของคุณวิเศษ ได้ปลุกปั้นโปรเจกต์อะไรดีๆ เรียกเสียงฮือฮาบ้าง
ผมทำโปรเจกต์คอลลาบอเรชั่นต่อเนื่อง โดยโปรเจกต์ที่โดดเด่นและได้รับการตอบรับจากแฟชั่นนิสต้า ก็มีโปรเจกต์เฉลิมฉลองครบรอบ 4 ทศวรรษ ด้วยคอลเลกชั่นพิเศษจาก “Nuj Novakhett” แบรนด์ไทยดีไซเนอร์ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดาราฮอลลีวูด นอกจากนี้ ยังมีโปรเจกต์พิเศษ “Jaspal x Starwars Collaborative Project” ร่วมมือระหว่างยัสปาลและดิสนีย์ พิคเจอร์ ออกแบบคอลเลกชั่นสำหรับภาพยนตร์สตาร์วอร์ส
ขึ้นสู่ปีที่ 46 แล้ว วาดฝันจะพัฒนาแบรนด์ “ยัสปาล” ให้เติบโตสยายปีก ไปทิศทางไหน
เราพยายามจะผลักดันให้เป็นโกลบอลแบรนด์ โดยขยายสาขาบุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้านก่อน ไล่ตั้งแต่สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง
ปีนี้ยังมีอะไรใหม่ๆเซอร์ไพรส์แฟนๆ ยัสปาลอีกไหม
ปีนี้ยัสปาลเตรียมผุดโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญอีกครั้งของแบรนด์ไทยในวงการแฟชั่นโลก เนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 46 โดยเราจะเป็นแบรนด์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ร่วมมือกับแบรนด์ดังโลกอย่าง “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” สร้างสรรค์คอลเลกชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Karl Lagerfeld for Jaspal” ตอกย้ำมาตรฐานแบรนด์สัญชาติไทยที่ได้รับการยอมรับสู่ระดับสากล พร้อมเปิดฉากการแข่งขันกับชาวโลกอย่างสมศักดิ์ศรี
ช่วยเล่าเบื้องหลังของโปรเจกต์ทอล์กออฟเดอะเวิลด์หน่อย
ถือเป็นไมล์สโตนสำคัญของยัสปาล เพราะแบรนด์ “คาร์ลลาเกอร์เฟลด์” เป็นแบรนด์ดังระดับโลกที่ไม่ได้มาร่วมคอลลาบอเรชั่นกับแบรนด์อื่นง่ายๆ ยิ่งยัสปาลเป็นโลคัลแบรนด์ เขาไม่รู้จักเรามาตั้งแต่แรก ถึงจะมีผลงานโปรเจกต์ระดับอินเตอร์มาตลอด แต่เขาก็ต้อง ตรวจสอบเราอย่างละเอียดทุกมิติ จนมั่นใจว่าเราสามารถทำงานในมาตรฐานเดียวกันได้ ตอนแรกๆเป็นอะไรที่ยากมากครับ ใช้เวลายาวนานถึงปีครึ่ง ทีมเราต้องเดินทางไปอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อพรีเซนต์งานถึง 3 ครั้ง จนเขามั่นใจศักยภาพของทีมเรา พอมาถึงกระบวนการทำงานก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ เพราะเราต่างมีแนวคิดในการสร้างสรรค์ไปทางเดียวกัน
คอลเลกชั่น “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ฟอร์ ยัสปาล” มีความพิเศษน่าตื่นเต้นอย่างไร
โจทย์สำคัญคือ เราต้องการนำความเป็นปารีเซียงชิคของแบรนด์ “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” มาผสานกับความเป็นไทยในแบบยัสปาล คอลเลกชั่นนี้ “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” ได้ออกแบบวาดภาพใบหน้าของดีไซเนอร์ และแมวชูเพ็ตต์ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของลุงคาร์ลขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน ก็หยิบรถตุ๊กตุ๊ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไทย ไปสร้างสรรค์อยู่ในคอลเลกชั่นด้วย ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้โลกได้ตระหนักถึงความเป็นมืออาชีพของแบรนด์แฟชั่นไทย ที่ไม่เป็นสองรองใคร.
ทีมข่าวหน้าสตรี