เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการจัดงานมหกรรมชาติพันธุ์: ภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ร่วมสร้างสรรค์สังคมพหุวัฒนธรรมไทย เนื่องในวันสากลว่าด้วยชนพื้นเมืองดั้งเดิมของโลก ประจำปี 2568 (International Day of the World’s Indigenous Peoples)
กระทรวงวัฒนธรรม โดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สำนัก 9 สนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ) สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (สชท.) และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมจัดงาน “ภูมิปัญญาชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์สังคมไทย ระหว่างวันที่ 19–21 กันยายน 2568 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กรุงเทพฯ การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์จากทั่วประเทศจะได้เฉลิมฉลองเนื่องในวันสากลว่าด้วยชนพื้นเมืองโลก ซึ่งกำหนดให้วันที่ ๙ สิงหาคมของทุกปี และในปีนี้ถือเป็นปีพิเศษสำหรับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยที่มีประกาศราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ “พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568” บังคับใช้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ทำให้การจัดงานครั้งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของการร่วมแสดงความยินดีและเฉลิมฉลองการมีกฎหมายชาติพันธุ์ไปพร้อมกัน
ในงานนี้มีกิจกรรมที่หลากหลายทั้งการจัดเวทีเสวนาวิชาการ ตลาดชาติพันธุ์ที่เป็นการออกร้านจำหน่ายและแสดงสินค้า ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ ยังมี Workshop และนิทรรศการสื่อสารความรู้ สร้างความเข้าใจวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตลอดจนศิลปะวัฒนธรรมและแฟชั่นเครื่องแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์จากทั่วประเทศ ทำให้ตลอดระยะเวลา 3 วันของการจัดงานเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์และผู้เข้าร่วมงานอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นศักยภาพ ความเข้มแข็งบนฐานอัตลักษณ์และวิถีวัฒนธรรมที่สามารถนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม นอกจากบรรยากาศที่แสดงให้เห็นความงดงาม ความสนุกสนานของผู้คนภายในงานแล้ว ยังมีเวทีเสวนาวิชาการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์ปัญหาการดำรงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในแต่ละภูมิภาคและความท้าทายต่อการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไปสู่การบังคับใช้ท่ามกลางพลวัตการเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ยังเป็นประเด็นสำคัญที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันอย่างหลากหลาย ดังปรากฏในการนำเสนอข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแต่ละวงเสวนา ดังนี้
การเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเยาวชนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย เสวนาในหัวข้อ “เยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองและปัญญาประดิษฐ์ ร่วมปกป้องสิทธิและกำหนดอนาคตที่สดใส” นำเสนอให้เห็นว่า เยาวชนถือเป็นรากฐานสำคัญต่อการดำรงและสืบทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ การมีพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของเยาวชนชาติพันธุ์ในการร่วมนำเสนอปัญหาและแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ถือเป็นความท้าทายของเยาวชนชาติพันธุ์ที่จะนำมาใช้พัฒนาให้เกิดแนวทางการอนุรักษ์ ฟื้นฟูวิถีชีวิต วัฒนธรรม และการใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการสร้างสรรค์ให้เกิดแนวทางหรือรูปแบบของการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชน รวมถึงผู้คนทั่วไปในสังคมให้เข้าถึงและสามารถเรียนรู้ความหลากหลาย
ยังมีการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มสตรีชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ร่วมนำเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ “ผู้หญิงกับกฎหมายชาติพันธุ์ เครื่องมือเสริมพลังสตรีเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร” ซึ่งมีผู้แทนสตรีจากกลุ่มชาติพันธุ์ทุกภูมิภาคร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงนั้นมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของวิถีชีวิต วัฒนธรรม โดยเฉพาะการสร้างความมั่นคงทางอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ เนื่องจากผู้หญิงจะมีบทบาทสำคัญในการเก็บสะสมเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบริบทการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้สตรีชาติพันธุ์ได้รวมตัวเรียกร้องให้เกิดการเคารพและเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมต่อการกำหนดนโยบาย มาตรการในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูวิถีชีวิต วัฒนธรรม โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ถือเป็นเครื่องมือและโอกาสสำคัญที่จะช่วยยกระดับศักยภาพสตรีกลุ่มชาติพันธุ์ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อมูล สถานการณ์ปัญหาและกำหนดนโยบายที่แสดงให้เห็นการเคารพสิทธิสตรีและสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีการเสวนาหัวข้อ “เส้นทาง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ : ประวัติศาสตร์และบทเรียนการขับเคลื่อนนโยบายชาติพันธุ์ในประเทศไทย” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำงานด้านการส่งเสริมสิทธิชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมเสวนา โดยชี้ให้เห็นว่า การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ในสังคมไทยนั้นมีพลวัตการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในลักษณะของการนับรวม การหลวมรวม การกลืนกลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ส่งผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในมิติต่าง ๆ ทำให้มีความพยายามในการเรียกร้องให้เกิดการเคารพสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ผ่านการกำหนดแนวนโยบาย เช่น มติคณะรัฐมนตรีฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลและชาวกะเหรี่ยงเมื่อปี 2553 การทำงานร่วมกันของเครือข่ายภาคประชาชน การรวมกลุ่มในนามสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นกลไกภาคประชาชนที่พัฒนาให้เกิดการรวมกลุ่ม รวมเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์และผลักดันให้เกิดการพัฒนากฎหมายเพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการแล้ว ความท้าทายต่อไปของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชนและเครือข่ายภาคประชาสังคมจำเป็นต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานและบูรณาการการทำงานร่วมกันให้ชัดเจนมากขึ้น และทุกภาคส่วนต้องใช้โอกาสนี้พิสูจน์ให้สังคมและหน่วยงานรัฐได้เห็นว่าการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้นำไปสู่การทำลายป่าหรือสร้างปัญหาความมั่นคงตามที่หลายฝ่ายได้แสดงความวิตกกังวล แต่เป็นการสร้างความยั่งยืนและความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนและยืนยันเป้าหมาย เจตนารมณ์ของการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
ในวันสุดท้ายของการจัดงาน เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ยังได้ร่วมกันประชุมวางแผนขับเคลื่อนกฎหมายชาติพันธุ์สู่ปฏิบัติการ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในแต่ละภูมิภาคได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลและระดมความคิดเห็น โดยเห็นว่าการดำเนินงานในระยะต่อไปจำเป็นต้องมีการสื่อสาร สร้างความเข้าใจเนื้อหาสาระของพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกภูมิภาค โดยออกแบบให้มีรูปแบบของการสื่อสารที่หลากหลาย สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและการใช้ภาษาของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อสร้างการรับรู้ ยอมรับร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ ตลอดจนการดำเนินการสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความถูกต้อง ชัดเจนและทันสมัย เพื่อใช้เป็นพื้นฐานต่อการกำหนดแนวนโยบายและมาตรการการดำเนินงานให้สอดคล้องตามกลไกพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายของการจัดงานเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ยังได้ร่วมกันประกาศปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ (ปฏิญญากรุงเทพฯ 2568) เพื่อยืนยันว่ากลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในประเทศไทยมีความยินดีและมีความพร้อมต่อการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสืบสานภูมิปัญญา คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และร่วมสร้างสรรค์สังคมพหุวัฒนธรรมไทยต่อไป