ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนและประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน จนมาถึงปี 2568 นี้ นับเป็นโอกาสสำคัญในการเฉลิมฉลอง 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างไทย-จีน ซึ่งหนึ่งในวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ส่งต่อกันมาโดยตลอดหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่บรรพบุรุษในประเทศจีนมาจนถึงลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนที่สืบสานกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ที่ปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่อง คือ วัฒนธรรมการดื่มชาจีน
การดื่มชาจีนนั้นมีความหมายลึกซึ้ง ที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์เพียงแค่การดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แต่ยังสื่อความหมายถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การปฏิบัติและการแสดงออกถึงการให้เกียรติผู้ร่วมวงการดื่มชา ทั้งในแวดวงมิตรสหายและการเจรจาธุรกิจ
ความหมายของชาจีน 3 ถ้วย ในวงสนทนา
การดื่มชาจีนเป็นที่นิยมไม่เพียงแต่ในหมู่ชาวจีนเท่านั้น แต่ลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนก็คุ้นเคยกับการดื่มชาจีนร้อนๆ ด้วยเช่นกัน อย่างที่คุณหมิง สมชาย ศุภสัญญา ประธานบริษัท จินหมิง กรุ๊ป (ประเทศไทย) ในฐานะรองประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ เล่าว่า การดื่มชาจีนเป็นที่นิยมในประเทศจีนมาอย่างยาวนาน และแน่นอน เป็นสะพานส่งต่อวัฒนธรรมการดื่มชาจีนในประเทศไทยด้วย เพราะคนไทยเชื้อสายจีนมีบรรพบุรุษมาจากประเทศจีน โดยเฉพาะชาวแต้จิ๋วที่มาจากทางตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง และนิยมดื่มประเภทชาอู่หลง
“คนแต้จิ๋วปกติจะนั่งคุยกันและชงน้ำชาดื่มกัน ทั้งในวงเพื่อนๆ และในวงการเจรจาพูดคุยเรื่องธุรกิจ ซึ่งการชงน้ำชาของชาวแต้จิ๋วนั้นไม่เหมือนการชงน้ำชาของที่อื่น ซึ่งที่อื่นจะชงชาด้วยกาน้ำขนาดใหญ่ แต่การชงชาของชาวแต้จิ๋วที่สืบทอดมานับพันปีนั้น จะใช้กาน้ำใบเล็กๆ ชงในวงดื่มกัน โดยส่วนใหญ่แล้วในวงจะมีประมาณ 3 คน ด้วยชาถ้วยเล็กๆ คนละถ้วย รวม 3 ถ้วย ด้วยวิธีชงและรินให้กันอย่างพิถีพิถัน”
...
ทำไมต้อง 3 ถ้วย และมีความพิถีพิถันขนาดไหนนั้น คุณหมิงอธิบายได้อย่างเห็นภาพโดยเปรียบเทียบกับการดื่มเครื่องดื่มประเภทอื่น ด้วยคำโบราณของจีน มีคำพูดถึงการเปรียบเทียบการดื่มเครื่องดื่มแต่ละประเภท จำนวนคนในวงการดื่มในโอกาสที่ต่างกัน ระหว่างชาจีน การดื่มเหล้า คือ “แต๊ซา” “จิ้วสี่” และแถมให้อีกหนึ่งคำคือ “ทิกท้อหนอ”
คำว่า “แต๊ซา” เป็นภาษาแต้จิ๋ว เมื่อแยกคำออกมา จะมีคำแปลดังนี้ “แต๊” มีความหมายถึง ชา ส่วนคำว่า “ซา” มีความหมายว่า สาม รวมความหมายคือ การดื่มน้ำชาที่มีสมาชิกในวงดื่ม 3 คน ที่เป็น 3 คนนั้น ถือว่าเป็นจำนวนคนที่ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป เหมาะสมกับปริมาณน้ำชาในกาขนาดเล็กพอเพียงในเวลารินให้กัน ที่สำคัญวงสนทนาพูดคุย 3 คน ทำให้แต่ละคนมีจังหวะการพูดและรับฟังที่ลงตัวกัน

คำว่า “จิ้วสี่” แยกเป็นคำว่า “จิ้ว” หมายถึงเหล้า ส่วนคำว่า “สี่” ก็หมายถึง สี่ ในความหมายคือ ในวงดื่มเหล้า การมีสมาชิกในวง 4 คน เป็นจำนวนที่เหมาะสมในการสนทนากันได้ทั่วถึงและสนุกสนาน
ส่วนคำว่า “ทิกท้อหนอ” ไม่ได้เกี่ยวกับการดื่มอะไร แต่หมายถึงการไปเที่ยวสองคนที่ลงตัว โดยคำว่า “ทิกท้อ” หมายถึงการไปเที่ยว ส่วนคำว่า หนอ แปลว่า สอง คือเวลาไปเที่ยวสองคน คือจำนวนที่ดีที่สุด
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในวิธีการชงชาแบบแต้จิ๋ว
วิธีการชงชาแบบแต้จิ๋วนั้น จะเน้นการต้มน้ำที่ไม่ใช้ไฟแรงเกินไป ในสมัยก่อนจึงใช้เตาถ่าน และใช้กาที่ทำจากดินเผา หรือที่เรียกกันว่า “ป้านชา” เพราะเก็บความร้อนได้ดี ทำให้รสชาติชาดีขึ้น
การชงชาก็ต้องพิถีพิถัน อย่างที่หลายคนคงเคยได้ยินชาวแต้จิ๋วพูดกันว่า “กังฮูแต๊” หรือการชงชาแบบละเมียดละไม ตั้งแต่การรินน้ำร้อน การทำให้ถ้วยร้อนก่อนรินน้ำชา จนถึงเวลารินในแต่ละถ้วยนั้น ต้องเฉลี่ยการรินวนไปวนกลับในแต่ละถ้วยให้ได้สัดส่วนพอกัน เพื่อไม่ให้ถ้วยใดถ้วยหนึ่งมีรสเข้มจนเกินไป หรือเพื่อให้แต่ละถ้วยมีรสที่เข้มข้นพอๆ กัน
คุณหมิงอธิบายความหมายที่ซ่อนอยู่ในอีกมุมหนึ่งว่า การรินชาจีนลงถ้วยเล็กๆ นี้ ยังสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัยได้ เช่น การรินชาให้ทั่วถึง ได้น้ำชาที่เข้มข้นพอๆ กัน ตีความได้ว่า มีความเท่าเทียมกัน ไม่เอาเปรียบกันและกัน มีความยุติธรรม แต่ก็ไม่ใช่บทสรุปเสมอไป เพราะบางคนรินโดยไม่รู้จักวิธีการดื่มชาเท่านั้นเอง
มากันที่การรินชาลงถ้วยนั้น ห้ามรินจนเต็มถ้วย ให้รินแค่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของถ้วย เพราะอย่าลืมว่าน้ำชานั้นร้อน หากรินเต็มถ้วยเกินไป ทั้งที่เป็นถ้วยเล็ก ก็จะลวกมือผู้ดื่มได้
เมื่อรินเสร็จแล้วเจ้าของบ้านหรือเจ้าของสถานที่ห้ามยกดื่มก่อน แต่ต้องเชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนหยิบถ้วยชาก่อน แล้วจึงดื่ม

...
สรุปแล้ววิธีการชงชาแบบแต้จิ๋ว สามารถแบ่งเป็นขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. ใส่ใบชาลงในกา หรือป้านชา
2. รินน้ำร้อน ในลักษณะยกน้ำให้สูง เพื่อให้ใบชาคลี่ตัวออก แล้วรีบเทน้ำทิ้ง คือเท่ากับเป็นการล้างใบชา หรือใช้น้ำนั้นลวกถ้วยชา
3. รินน้ำ โดยยกน้ำให้สูงอีกครั้ง ปิดฝาป้านชา
4. ระหว่างนี้ก็เทน้ำร้อนๆ รอบตัวป้านชาเพื่อรักษาอุณหภูมิภายนอกป้านชาให้ร้อนไว้
5. รอประมาณ 1 นาที ก็รินชาใส่ถ้วย โดยรินในระดับต่ำๆ และรินวนทุกถ้วยให้ได้ปริมาณพอๆ กันในแต่ละรอบ เพื่อให้ขนาดความเข้มข้นของน้ำชาพอๆ กัน และไม่ควรรินจนเต็ม ให้น้ำอยู่ระดับประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของถ้วยก็พอ
สำหรับขนมหรือของขบเคี้ยวที่มักเสิร์ฟกับชาจีนนั้น นิยมจับคู่กับถั่วลิสง ถั่วตัด และขนมเปี๊ยะ
การดื่มชาจีนด้วยกันนั้น จึงเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่เรียบง่าย แต่แน่นแฟ้น เราจึงเห็นชาวจีนเมื่อพบกันจะเชื้อเชิญการดื่มชากันอยู่เสมอ ไม่เพียงการพบปะกันในหมู่เพื่อน แต่ในแวดวงนักธุรกิจชาวจีนก็ยังคงมีการดื่มชากันระหว่างพูดคุยกันเสมอ ซึ่งไม่เพียงแค่ชาวแต้จิ๋วเท่านั้น แต่ชาวจีนในเมืองและมณฑลอื่นๆ ก็มีวัฒนธรรมการชงและการดื่มชาที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยเช่นกัน
คุณสมบัติของใบชามีผลต่อสุขภาพอย่างไร
ในด้านผลดีจากการดื่มชานั้นมีผลการศึกษาและผลวิจัยออกมาพบว่าการดื่มอย่างพอเหมาะจะส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะใบชามีสารสำคัญต่างๆ ดังนี้
1. สารกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยปกป้องเซลล์ ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว โดยเฉพาะสารสำคัญดังนี้
คาเทชิน (Catechins) ซึ่งพบมากในชาเขียวและชาขาว ที่มีคุณสมบัติ เช่น ต้านการอักเสบ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ช่วยควบคุมความดันโลหิต ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มีส่วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย จึงอาจช่วยควบคุมน้ำหนัก และมีบางงานวิจัยที่ศึกษาพบว่าอาจมีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด
นอกจากนี้สารกลุ่มโพลีฟีนอลนี้ ยังพบฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้หลอดเลือดและการทำงานของระบบหัวใจ

2. สารกลุ่มแอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ที่ทำงานร่วมกับคาเฟอีนได้ดี และส่งผลให้ผู้ดื่มชา นอกจากไม่ง่วงซึมแล้ว ตื่นตัว แต่ยังรู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิ จิตใจสงบ ลดความเครียดและความวิตกกังวล เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และความจำ
3. คาเฟอีน (Caffeine) ที่หลายคนคุ้นเคย ที่เพิ่มความสดชื่น กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว ไม่ง่วง ไม่อ่อนเพลีย
อย่างไรก็ตามหากดื่มชามากเกินไปก็เกิดผลเสียได้ เช่น รบกวนการนอน หากดื่มชาที่เข้มข้น หรือดื่มตอนใกล้เวลานอน เกิดอาการใจสั่น วิตกกังวล โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน
นอกจากนี้ในใบชาที่มีสารแทนนิน (Tannin) ที่จะไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก การดื่มชาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีเป็นประจำ อาจเสี่ยงภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้ นอกจากนี้สารแทนนิน ยังทำให้บางคนท้องผูก
การดื่มชาแบบเข้มข้นตอนที่ท้องว่าง จะไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรควิตกกังวล จึงควรระวังในการดื่มชาในปริมาณที่เหมาะสม
...