การสวดอิติปิโสมีหลายแบบ...แบบที่ท่องบ่นแต่ปาก แบบที่เอาสมาธิผ่อนคลาย แบบที่บูชาพระรัตนตรัย และแบบที่เปิดรับพุทธคุณ

แบบท่องบ่นแต่ปากคือจำได้ว่าบทสวดเป็นอย่างไร แล้วฝืนใจท่องคำสวดออกมาให้จบๆ หรือบางทีไม่ถึงกับฝืนใจ แต่ก็ไม่ได้มีใจอยากสวดเท่าใดนัก

“บางคนถูกบังคับให้สวดตามหมู่คณะ...บางคนหวังขอพรหลังสวดจบ...บางคนสวดเพราะคนอื่นบอกว่าได้บุญ ฯลฯ สรุปคือตั้งต้นสวดด้วยการคิดฟุ้งไป ผลจึงยังคงฟุ้งต่อ ไม่ได้ดีอันใดจากการสวดเลย พอมีใครชักชวนให้สวดอีก...ก็รู้สึกถึงความฝืนอีก ฟุ้งอีก แถมบางทีคิดไม่ดี ปรามาสพระรัตนตรัยเอาง่ายๆ”

แบบที่เอาสมาธิผ่อนคลายคือ จับจุดได้ว่า ถ้ารักษาสายตาตรง คอตั้งหลังตรงแบบผ่อนคลายแล้วเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำไปนานๆ ใจจะค่อยๆสงบระงับความฟุ้งซ่าน เนื้อตัวผ่อนคลาย

แล้วติดใจกับความเป็นเช่นนั้น...สวดเช่นนั้นบ่อยๆกลายเป็นความเคยชิน ค่อยๆพัฒนาเป็นความเชี่ยวชาญ ที่จะอยู่กับสมดุลแห่งความผ่อนคลายกายใจได้ทุกครั้ง

นับเป็นการได้สมาธิชนิดหนึ่ง และอาบรดพลังสว่างให้ตัวเองระดับหนึ่ง...เป็นสมาธิอันเกิดจากการท่องมนต์ศักดิ์สิทธิ์

...

แบบที่บูชาพระรัตนตรัย คือตั้งจิตแรกก่อนสวด จากการคิดถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา หรือเอาจิตเป็นแก้วใสถวายพระรัตนตรัย

“สวดแบบนี้เกิดศรัทธาปสาทะ โสมนัสล้นเกล้าล้นกระหม่อมขึ้นมาไม่ยาก เนื่องจากจิตไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของใคร เป็นสภาวะกุศลหรืออกุศลธรรมตามเหตุปัจจัย”

เมื่อน้อมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ย่อมถูกปรุงแต่งให้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียเอง

แบบที่เปิดรับพุทธคุณ แบบนี้สวดอย่างเดียวไม่พอ...จิตต้องประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ มีพุทธิปัญญาเป็นพานทองรองรับอยู่ก่อน

อย่างน้อยเข้าใจ และเล็งเห็นว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรจริงๆ สอนให้มีสติรู้กายใจแบบไหน ให้เห็นว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง ให้เห็นว่ามีตัวตนหรือไม่มีตัวตน

เมื่อมีพุทธิปัญญาเป็นพื้นฐาน...แล้วต่อยอดด้วยการถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา จิตจะคลี่คลาย แผ่ผายเป็นสมาธิ รู้สึกถึงความว่างออกมาจากกลางใจ ขยายใหญ่ออกไปสู่ขอบเขตไม่มีประมาณ

กระทั่งสัมผัสได้ถึงพลังพุทธคุณ ที่สว่างแจ้งทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน รู้สึกได้ถึงจิตทั้งดวงที่รับพลังพุทธคุณเข้ามา...พอสวดเสร็จแล้วนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม ในอาการแห่งการเจริญสติปัฏฐาน 4 จะเกิดความรู้ทั่วพร้อมง่าย...รู้สึกว่ากายใจเป็นอนัตตาง่าย

เหมือนสมัยพุทธกาล ที่คนเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์...แล้วรู้ธรรม บรรลุธรรมตามพระองค์ได้ง่ายนั่นเอง!

Cr. เฟซบุ๊กเพจ “Dungtrin”

@@@@

“หลวงพ่อคุ้ม” วัดบางแตน ตำบลบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี อีกหนึ่งพระพุทธรูปปางมารวิชัยอันเก่าแก่ที่มีผู้คนศรัทธาเลื่อมใสแวะเวียนเข้าไปกราบไหว้ขอพรไม่ขาดสาย นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยว่าตามปูมประวัตินั้นมีความน่าศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

หลวงพ่อคุ้ม...สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอู่ทอง เป็นเนื้อหินศาลาแกะทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 79 นิ้ว ได้มีพ่อค้าเกวียนอัญเชิญมาจากอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เพื่อจะนำไปประดิษฐานยังจังหวัดจันทบุรี หากแต่มีหลวงตาได้ขอบิณฑบาตไว้และประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้มาแต่ในอดีตครั้งนั้น

ข้อมูลรายละเอียดนอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า “หลวงพ่อคุ้ม” นั้นเป็นพระพุทธรูปที่สามารถแยกส่วนได้ถึง 16 ชิ้น ก่อนที่ชาวบ้านจะรวมจิตศรัทธาช่วยกันพอกปูนทับเอาไว้ดังที่เห็นในปัจจุบัน

หลวงพ่อคุ้มถือเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก โดยมีความเชื่อสำคัญมากมายหลากหลายเรื่องราวด้วยกัน จากประสบการณ์ที่มีผู้พบเจอมากับตัวบอกกล่าวเล่าขานเป็นตำนานสืบต่อๆกันมาหลายชั่วอายุคนจนกลายเป็นคำร่ำลือในชื่อเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมาอย่างยาวนาน

...

โดยเฉพาะเรื่องราวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเป็น “ทหาร” ที่หนีจากการไล่ล่าของข้าศึกศัตรูที่มีกำลังมากกว่า ในครั้งนั้นเล่ากันว่าทหารนายนี้ได้หนีเข้ามาหลบอยู่ในพระอุโบสถ ได้ภาวนาตั้งจิตอธิษฐานให้องค์หลวงพ่อช่วยคุ้มครองปกปักให้ตนเองแคล้วคลาดปลอดภัย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...แม้นข้าศึกที่ติดตามไล่ล่ามาจะมีมากกว่าและกระชั้นชิด แต่ก็ตามหาทหารนายนี้ไม่พบ...รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์

นี่เอง...ที่ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อคุ้มปรากฏชัดเจนในเรื่องคุ้มครอง แคล้วคลาดให้ปลอดภัย อีกทั้งชาวบ้านยังเชื่อศรัทธากันด้วยว่า หากใครมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นทหาร หรืออยากจะเข้ารับราชการรับใช้ชาติบ้านเมือง ก็มักจะมาบนบานศาลกล่าวขอให้ “หลวงพ่อคุ้ม” ช่วยบันดาลให้สมหวังดังปรารถนา

แน่นอน...หลายๆคนสำเร็จดังปรารถนาก็จะมาแก้บน ตามที่รับปากท่านเอาไว้

อีกเรื่องที่มักจะมีผู้คนมาบนบานอยู่เนื่องๆก็คือขอให้หลวงพ่อช่วยค้าขายร่ำรวย...คุ้มครองในช่วงเวลาที่จะเดินทางไปยังจุดหมายให้ปลอดภัย ปราศจากภัยอันตรายใดๆทั้งปวงนั่นเอง

...

@@@@

“ศรัทธา” หมายถึงความเชื่อและความรู้สึกซาบซึ้งด้วยมั่นใจในเหตุผลเท่าที่ตนเองมองเห็นเป็นความมั่นใจใน 3 องค์ประกอบ คือ...มั่นใจว่าเป็นไปได้ มั่นใจว่ามีคุณค่า และ เร้าให้อยากพิสูจน์ความจริง

ศรัทธาที่แท้จริงตามนัย “พุทธศาสนา” จึงไม่ใช่ศรัทธาที่ใช้อารมณ์จนลืมเหตุผล หากแต่ต้องมีปัญญาเป็นตัวควบคุม ส่งเสริมความคิด วิจัยวิจารณ์จนค้นพบเหตุและผล ได้ทดลองปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้ประจักษ์ความจริงแก่ตน จนหมดสงสัยจึงเกิดศรัทธาเป็นปัจจัยแรกที่สุด หรือ...เป็นขั้นต้นของกระบวนการพัฒนาปัญญา

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

รัก-ยม

คลิกอ่านคอลัมน์ "เหนือฟ้าใต้บาดาล" เพิมเติม

...