“ครุฑสมัยรัตนโกสินทร์” กรมศิลปากร บันทึกไว้ว่า ในฐานะสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ นับเนื่องต่อมาจากสมัยกรุงธนบุรี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์เป็นพระราช ลัญจกรประจำแผ่นดิน

หรือ... “ตราแผ่นดิน” และใช้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่วน “ครุฑ” ในบริบททางพระพุทธศาสนา ยังสอดแทรกอยู่ในสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกัน รวมถึงงานศิลปกรรมอื่นๆด้วย เช่น นารายณ์ทรงครุฑยุดนาคหน้าบันหน้าบันไม้จำหลักอุโบสถวัดราชสิทธาราม กรุงเทพมหานคร

ครุฑยุดนาคประดับฐานปัทม์ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครุฑยุดนาคประดับฐานยอดหลังคาพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พญาครุฑในภาพเทพชุมนุม จิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ครุฑยุดนาคตกแต่งฐานพระที่นั่งราเชนทรยาน เป็นต้น

...

ความสำคัญของ “ครุฑ” ในดินแดนประเทศไทยมีสืบเนื่องมานานตั้งแต่เมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม คติความเชื่อต่างๆก็มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัยจนทำให้เกิดความเชื่อว่าครุฑคือพาหนะของเทพผู้พิทักษ์พุทธสถานและครุฑคือผู้พิทักษ์พุทธสถานด้วย

หนังสือ “นารายณ์ทรงครุฑ” จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในการยกครุฑหน้าบรรณพระอุโบสถวัดเขมาภิรตาราม นนทบุรี (4 ตุลาคม 2506) กล่าวถึง “พญาครุฑ” เป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ มีรูปตามตำรับว่ามีศีรษะ ปีกและตีนเป็นนก แต่มีตัวเป็นคน หน้าสีขาว ปีกสีแดง ตัวเป็นทอง

พญาครุฑ...มีชายาชื่ออุนนะตีหรือวินายกา มีบุตรชื่อสัมปาตี ซึ่งในรามเกียรติ์เรียก “สัมพาที” กับชดายุ ในรามเกียรติ์เรียก “สดายุ”

ส่วนนามแห่งพญาครุฑนั้นมีอยู่เป็นอันมาก แต่ที่ใช้อยู่บ่อยๆรวบรวมไว้ได้แก่ สุบรรณ...แปลว่า ปีกงาม, ครุตมัน...แปลว่า จอมนก, ทักษายะ...แปลว่า พอใจในความคล่องแคล่ว, ศาลมลิน...แปลว่า ผู้อยู่ต้นศาลมะลิ (งิ้ว), ตรรกษยะ...คำแปลยังเคลือบคลุม, วินายก...แปลว่า ผู้ปัดเป่า (ความขัดข้อง), สีตานน...แปลว่า หน้าขาว

รักตะปักษ์...แปลว่า ปีกแดง, เศวตะโรหิต...แปลว่า ขาวแดง, สุวรรณกาย...แปลว่า ตัวทอง, คัคเนศวร...แปลว่า จอมฟ้า, ขะเคศวร...แปลว่า จอมนก, นาคานตก...แปลว่า ทำลายนาค, ปันนัคนาศน์...แปลว่า ผลาญงู, สรรปาราติ...แปลว่า ศัตรูกับงู, อุรคานิ...แปลว่า อริแห่งงู, ตรัศวิน...แปลว่า ผู้ไปเร็ว...รสายก...แปลว่า วิ่งเหมือนปรอท

กามะจาริน...แปลว่า ผู้เที่ยวไปตามใจ, กามายุส...แปลว่า ผู้อยู่ตามสบาย, จิราท...แปลว่า กินนาน, วิษณุวาหน...แปลว่า พาหนะพระวิษณุ, สุเรนทรชิต...แปลว่า ผู้ชำนะพระอินทร์, วัชระชิต...แปลว่า ผู้ชำนะวัชระ, ไวนะเตยะ...แปลว่า เกิดแต่นางเวนะตา, วิษณุรถ...แปลว่า ยานพระวิษณุ

...

O O O O

ความเชื่อสำคัญเกี่ยวกับ “ครุฑ” ที่เป็นเทพครึ่งนกอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ มีฤทธิ์มาก ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ อาจกล่าวได้ว่า...อิทธิฤทธิ์พญาครุฑนั้นมีมากยิ่ง เป็นอำนาจในทางเมตตามหานิยม ผู้ศรัทธาบูชาแล้วจักนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง สามารถปกป้องคุ้มครอง...ให้แคล้วคลาดภัยอันตรายทั้งปวงได้ อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าพลังพญาครุฑนั้นสามารถลบล้างอาถรรพณ์คุณไสยต่างๆได้อีกด้วย

ความเชื่อศรัทธานี้คนโบราณนานมาจึงบูชาเหรียญรุ่นเก่าที่มีรูปครุฑเอาไว้ติดตัว หรือแม้กระทั่งติดไว้ประจำบ้านเพื่อป้องกันปกปักรักษาสิ่งไม่ดีต่างๆไม่ให้เข้ามากล้ำกราย เสริมพลังป้องกันภูตผีปิศาจ รอดพ้น

เหรียญบาทครุฑเก่า...จึงเป็นที่นิยม หลายๆคนใส่กรอบห้อยคอ แขวนพกติดตัว กระแสศรัทธาที่มีมากขึ้นเป็นระลอกๆนี้คาดกันว่าน่าจะมาจากสนนราคาหามาได้ไม่สูงมากจนเกินกำลัง ผนวกกับการปลอมไม่มี? ส่วนใหญ่เป็นเหรียญแท้ๆ...และที่สำคัญ “ดีมานด์” กับ “ซัพพลาย” ยังอยู่ในสภาวะสูสีคู่คี่กันพอดิบพอดีลงตัว

...

เรื่องเล่าปรัมปราเกี่ยวกับ “พญาครุฑ” ในศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เล่าว่า “ครุฑ” เป็นพี่น้องกับ “นาค” มีพ่อเป็นฤาษีองค์เดียวกันชื่อ พระกัศยปมุนีเทพบิดร แต่ต่างมารดากัน

ครุฑใช้เวลาถึงพันปีถือกำเนิดอยู่ในไข่ เมื่อครบกำหนดจึงฟักตัวออกมา เมื่อแรกเกิดว่า...กันว่ามีร่างกายใหญ่โตจดท้องฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใดขุนเขาจะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ

ทำให้เทวดาทั้งหลายเดือดร้อน จึงพากันไปขอร้องให้ลดขนาดตัวลงมา...

ในกาลต่อมาเมื่อครั้งบินไปสวรรค์นำน้ำอมฤตมาให้นาคเพื่อให้มารดาเป็นไท ฝ่ายพระอินทร์และทวยเทพติดตามลงมา...เกิดการต่อสู้กันขึ้น แต่ไม่สามารถเอาชนะครุฑได้ พระนารายณ์จึงได้ออกมา ขัดขวางแต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองฝ่าย จึงต้องตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระนารายณ์ให้พรแก่ครุฑว่า...จะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑได้ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะทรงของพระนารายณ์ และเป็นธงครุฑพ่าห์ปักอยู่บนรถศึกของพระนารายณ์อันเป็นที่สูงกว่า

O O O O

...

วัดประยงค์กิตติวนาราม ถนนประชาสำราญ เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ผู้ศรัทธาแวะเวียนมากราบสักการะขอพระพญาครุฑองค์ใหญ่สูงตระหง่านที่อยู่ชิดติดริมกำแพง บางคนเชื่อศรัทธาเป็นอย่างยิ่งว่าขอพรแล้วจะได้สมหวังดังประสงค์ตามที่ตั้งใจเอาไว้

โดยเฉพาะชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินทางมาพร้อมกับภรรยาและลูกเล็ก กราบบูชาเสร็จแล้วก็หันไปวิ่งแก้บนจำนวน 99 รอบ โดยมีภรรยากับลูกสาวนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้ ประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ 1 รอบ น่าจะมีไม่น้อยกว่า 40 เมตร วิ่งครบก็น่าจะต้องวิ่งเกือบ 4 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว

สอบถามได้ความว่า ได้บนบานท่านเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องข้อหาคดีความ...หากหลุดพ้นคดีความ คราวนี้ไปได้ก็จะมาแก้บนตามที่เอ่ยปากเอาไว้ เชื่อไม่เชื่ออย่าได้ลบหลู่...ศรัทธานี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่สิ่งที่ขอ “มหาเทพครุฑาราชาบดี” ได้เกิดขึ้นแล้วสมดังตั้งใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่มาแก้บน

คาถาบูชา “มหาเทพครุฑาราชาบดี” นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) ครุฑา เทวาราช ราชาเวหา อิทธิฤทธา อิทธิเดชา นะมะอะอุ (3 จบ)

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

รัก–ยม

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม