การแสดง “โขน” จดหมายเหตุ “ลา ลูแบร์” เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระบุว่ามีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

เดิม “โขน” ใช้แสดงเฉพาะในราชสำนักก่อนแพร่ออกสู่ประชาชนในกาลต่อมา โชคดีที่ว่า... มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ โดยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงอนุรักษ์วัฒนธรรมนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อนถึงวันนี้ และขณะที่ “โขน” ยังเป็นมหรสพหลวงอยู่นั้น ก็ให้เกิดการแสดงหุ่นหลวงที่ได้รับอิทธิพลจากการแสดงโขน โดยแต่งองค์ทรงเครื่องและลีลาท่ารำจำแลงมา...

ขนาดความสูงก็ไม่เกิน 1 เมตร เคลื่อนไหวเหมือนชีวิตแฝงจริตจากทักษะผู้เชิดมิปาน

จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ เคยให้นิยาม “หุ่นหลวงเป็นศิลปะการแสดงชนิดหนึ่ง ที่ใช้วัสดุประดิษฐ์ให้มีท่าทางเหมือนคน มีคนเชิดและชักให้เคลื่อนไหว”

ต่อมา...มีการสร้างหุ่นอีกชนิดสูงครึ่งเมตรเรียก “หุ่นเล็ก” แต่งองค์คล้ายหุ่นหลวงใช้ชักและเชิดมิต่างกัน จากนั้นมีการแสดงหุ่นอีกแบบเป็น “ละครเล็ก” เมื่อปี 2444 โดยนายแกร ศัพทวนิช เป็นการเลียนและสร้างเช่นหุ่นเดิม ต่างกันตรงการบังคับและลีลาการเชิดที่คิดขึ้นใหม่...ได้ถ่ายทอดให้ลูกชายกับลูกสะใภ้สืบสานต่อ จนทั้งสองชราได้มอบตัวหุ่นละครเล็กที่เหลือให้นายสาคร ยังเขียวสด “หลิว” ซึ่งเป็นลูกคนเชิดในคณะละครเล็ก

...

ขณะนั้นนิยมเล่นเรื่อง “พระอภัยมณี” กับ “แก้วหน้าม้า” นายสาครจึงสร้างหุ่นเพิ่มโดยทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวแก่พ่อแกรที่เป็นต้นกำเนิด แล้วพัฒนารูปแบบใหม่ให้คนเชิด 3 คนต่อหุ่น 1 ตัว ออกมาอยู่ด้านนอกเพื่อผู้ชมจะได้เห็นลีลาท่าเชิดไปพร้อมกัน แล้วตั้งโรงใหม่ชื่อ “คณะสาครนาฏศิลป์ละครเล็กหลานครูแกร”

แสดงแห่งแรกเป็นที่รู้จักในนาม “นาฏยศาลาหุ่นละครเล็กโจหลุยส์” ที่มาจากชื่อ “หลิว” จนลือเลื่องทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ ทำให้ได้รับการคัดเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงปี 2539...กระทั่งโจหลุยส์เสียชีวิตด้วยวัย 85 ปี เมื่อปี 2550 กระนั้นก็มีลูกศิษย์มากมายที่สืบทอดการแสดงมาจนถึงวันนี้

O O O O

วรัทยา วิวัฒน์อนันต์ หรือ “ลูกปลา” วัย 49 ปี ผู้สนใจดนตรีไทยแต่เล่นได้เฉพาะขิม สังเกตเห็นพฤติกรรมลูกชายวัย 5 ขวบ ชื่อ “ธนนท์” ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างกับเด็กวัยเดียวกันคือติดเล่นเกมมากกว่าอย่างอื่น

...แต่เมื่อได้ดูการแสดงโขนครั้งแรกในชีวิต กลับสลัดเกมทิ้ง หันมาสนใจการแสดงโขนแทนแถมยังสามารถรู้เรื่องราวรามเกียรติ์มากกว่าในตำราเรียนเสียอีก?

“เขาสนใจศึกษาเรื่องนี้จากหนังสือตั้งแต่ตอนนั้น นอกจากนั้นยังอาศัยยูทูบเป็นสื่ออย่างตั้งใจ ไม่อยากเชื่อเลยว่า...นนท์จะเป็นเด็กที่เลิกติดเกมแบบไม่มีใครหักล้าง และชี้นำให้หันมาสนใจเรื่องโขนแทน”

จากนั้นพ่อและแม่คอยให้การสนับสนุนโดยนำลูกชายไปสมัครเรียนสถาบันที่เปิดสอนตั้งแต่เบื้องต้นและเลือกเรียนหนุมานที่นนท์ชอบอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงนั้นแม่มีกำหนดจะขึ้นไปทำบุญทอดกฐินที่เชียงใหม่ จึงขอให้สอนแบบเร่งรัดเพื่อให้นนท์ได้แสดงที่นั่นเป็นเวทีแรก

หลังจากนั้น...มารดาของลูกปลาซึ่งชอบดูการแสดงนาฏศิลป์ไทยถึงแก่กรรม ลูกปลาจึงจัดโขนชุด “จับนาง” ตอนหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉาไปแสดงหน้าไฟโดยคณะ “สิปปทำนาย” เสร็จงานก็ชวนชาวคณะมาร่วมกันทำ “หุ่นละครเล็กคณะแม่นายสิปปะธรรม” เมื่อ 4-5 เดือนที่ผ่านมา เพื่อสืบสานและปลูกฝังเด็กไทยให้หันมาสนใจสิ่งนี้เหมือนลูกของตนที่คนเป็นแม่หวังให้ไปต่อ

...

โดยลงทุนสร้างชุดโขนและหุ่นละครเล็กขึ้นมาใหม่กับหุ่นไม้ใช้ซ้อมอีก 7 ตัว ขณะนี้มีสมาชิกที่ขึ้นชั้นแสดงได้ 20 คน และเด็กที่หัดเรียนขั้นพื้นฐานการแสดงโขน คือ “ตบเข่า ถองสะเอว เต้นเสา” ก่อนแยกไปเรียนแม่บทลิงหรือยักษ์อีก 50 คน โดยไม่ต้องเสียค่าสมัคร แต่จะได้ค่าตอบแทนเมื่อขึ้นเวทีแสดง โดยทั้งหมดเป็นเด็กโตสุดชั้น ม.6 และครูเชิดหุ่น 3 คนที่จะถ่ายทอดศิลปะการเชิดกับเด็กที่เรียนรู้การแสดงโขนจนชำนาญแล้ว

O O O O

“เพราะการเรียนโขนที่ว่าต้องใช้ความอดทน แล้วการเรียนเชิดหุ่นละครเล็กยังต้องอดทนมากกว่าหลายเท่า” เสียงยืนยันจาก ครูจิ่ว หรือ จตุฏรัษภิชญ์ พรพระครูชัยนาท ครูผู้สอนวัย 45 ปี ศิษย์เก่าวิทยาลัยนาฏศิลป์จันทบุรีและมีประสบการณ์จากคณะโจหลุยส์กว่า 10 ปี กล่าว

น่าสนใจว่าคณะหุ่นละครเล็กชุดนี้แสดงให้คนไทยและต่างชาติชมฟรีทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ลานด้านหน้าพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามฯ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงแดดร่มลมตก 16.30-17.30 น. ยกเว้นมีงานแสดงนอกสถานที่โดยจะบอกให้รู้ล่วงหน้าทางเพจ สิ่งสำคัญ...ที่คนเป็นแม่คือลูกปลารู้สึกสำนึกตลอดเวลาของการเป็นคณะหุ่นละครเล็กก็คือ...เช้าที่ 3 ธันวาคม 2565 วันแรกที่กำลังจะเปิดการแสดงที่หน้าพระปรางค์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้ตั้งโต๊ะทำพิธีบวงสรวงด้วยขนมแดงผสมน้ำตาลกับขนมขาว ผลไม้อีก 9 อย่าง

...

ได้แก่ มะพร้าว ส้ม สับปะรด สาลี่ แก้วมังกร แอปเปิ้ล องุ่น เชอร์รี กล้วยหอม...โดยได้อัญเชิญ “พระพิฆเนศบาละคณปติ (ปางเด็ก)” และบรรดาครูละครเล็กผู้ล่วงลับ กับอาจารย์ประคอง วัดอรุณฯ เข้าร่วมพิธี

วันนั้น...ระหว่างที่ “ครูจิ่ว” ซึ่งผ่านการ “ครอบครู” ตามจารีตโบราณมาก่อน และเป็นผู้ยึดมั่นใน “พรหมวิหาร 4” กำลังกล่าวอัญเชิญทวยเทพเทวดาและครูละครเล็ก ประกอบด้วยครูแกรและทายาท ครูสาครหรือโจหลุยส์ได้โปรดลงมารับอาหารที่ได้จัดถวายไว้บนโต๊ะบูชา ทันใดนั้นได้เกิดเรื่องไม่น่าเชื่อขึ้น...เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นพระอาทิตย์ทรงกลดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์...!

ฤา นั่นหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงปาฏิหาริย์รับทราบแล้ว

นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...การดำเนินงานทุกอย่างดูราบรื่น อาทิ การซ้อมหรือแสดงทุกครั้งไร้ปัญหาจากความคุ้มครองของสิ่งลี้ลับต่างมิติเหล่านั้น... โดยเฉพาะลูกนนท์ซึ่งปีนี้วัย 9 ขวบได้ถูกสอนให้เป็นหนุมานตัวหลักของโขนเด็ก “หุ่นละครเล็กคณะแม่นายสิปปะธรรม”

...

“...มีอยู่อีกครั้งหนึ่ง” ลูกปลาเอ่ย “นำคณะไปแสดงที่ฐานทัพเรือสัตหีบแบบไม่มีแผนจบงานแล้วจะพาพวกเขาไปกินอะไรที่ไหน...เหมือนมีสิ่งดลใจแม่สามีซึ่งทำสนามกอล์ฟอยู่ที่นั่นรู้ข่าวจึงรีบจัดอาหารให้ 30 กว่าชีวิตทันที...นี่ก็ทำให้เชื่อว่าคงเป็นเพราะการบวงสรวงครั้งนั้นอีกเช่นเคย...สาธุ”

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

รัก-ยม