- เวทีการประกวด มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 69 หรือ Miss Universe 2020 คือหนึ่งในการประชันความสวยความงามของเหล่าหญิงสาวจากนานาประเทศทั่วโลก ที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ให้ตัวเองด้วยการเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าแข่งขันได้แสดง 'คุณค่าความงาม' นอกเหนือจากเรือนร่างในแบบเดิมๆ ผ่านการแสดงความคิดเห็นทางสังคมการเมือง ...ทว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
จบไปแล้วสำหรับเวทีการประกวด มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 69 หรือ Miss Universe 2020 เมื่อเช้าวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาของบ้านเรา) ซึ่งอาจมีผู้ชมที่ถูกใจบ้าง-ไม่ถูกใจบ้างกับผลประกวดที่ออกมา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชาวไทยก็น่าจะภาคภูมิใจกับการทำหน้าที่อันน่าชื่นชมของ อแมนด้า-ชาลิสา ออบดัม สาวงามตัวแทนประเทศไทยที่มุ่งมั่นจนได้เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายบนเวทีมิสยูนิเวิร์ส -- เวทีนางงามที่เรียกว่า ‘ทรงอิทธิพลที่สุด’ เวทีหนึ่งของโลก
นอกจากเรื่องการประชันความสวยความงามของเหล่าหญิงสาวจากนานาประเทศทั่วโลกบนเวทีแห่งนี้แล้ว เรายังพบว่าการประกวดนี้มีความน่าสนใจในอีกหลายแง่มุม โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ‘ความหลากหลายทางทัศนคติและวัฒนธรรม’ ซึ่งเป็นการพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ให้กับเวทีนางงาม ที่เปลี่ยนผ่านจากความงามบนเรือนร่าง มาสู่การเปิดพื้นที่ให้แก่ความงามทางความคิด ที่แสดงถึงความหลากหลายของผู้เข้าประกวดในแง่วัฒนธรรมและทัศนคติ เพื่อช่วยยกระดับเวทีนางงามให้กลายเป็นเวทีสื่อสารด้านประเด็นสังคมและการเมือง ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
จริงๆ ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง ‘ภาพลักษณ์ความงาม’ ในลักษณะนี้ของวงการนางงามเกิดขึ้นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากเวทีประเภทนี้เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามจากวงวิชาการหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะสายสตรีนิยม (Feminism) ว่าการประกวดนางงามเป็นธุรกิจที่นิยมเอา ‘ร่างกายของผู้หญิงที่ยึดโยงอยู่บนมาตรฐานความงามเพียงแบบเดียว’ มาหากิน ซึ่งมักเป็นการลดทอนคุณค่า ‘ความเป็นหญิง’ และการเปลี่ยนผู้หญิงให้เป็น ‘สินค้าทางเพศ’ ที่ถูกผู้คนจับจ้อง ...ด้วยเหตุนี้ วงการนางงามจึงพยายามที่จะปรับทิศทางและมาตรฐานการประกวดของตัวเองให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนไปมากขึ้นดังที่เห็น
...
กระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีเฉพาะบนการประกวดนางงามเวทีใดเวทีหนึ่งเท่านั้น หากแต่มีการเพิ่มคุณค่าใหม่นี้ลงไปในเกือบทุกเวทีการประกวด ไม่ว่าจะระดับสากลอย่าง Miss Universe, Miss World, Miss Grand จนถึงเวทีในระดับท้องถิ่น ยกตัวอย่างกรณีในไทยก็เช่น เวทีนางงามประจำจังหวัด/ภูมิภาค หรือแม้แต่เวทีประกวดนางงามที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ซึ่งในแต่ละเวทีก็จะมีเป้าหมายในการสื่อสารเพื่อเพิ่มคุณค่าของผู้เข้าประกวดผ่านประเด็นที่แตกต่างกันไป

อย่างเวทีมิสยูนิเวิร์สปีนี้ ก็เห็นได้ชัดถึงความพยายามในการนำเสนอประเด็นการยอมรับ ‘สังคมพหุวัฒนธรรม’ หรือ ‘สังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม’ (Multicutural Society) ทั้งจากชาติพันธุ์ ความเชื่อ วิถีชีวิต และคุณค่าความงามที่หลากหลายมากพอ โดยเฉพาะการชูแคมเปญเรื่อง Beauty Standard หรือ ‘มาตรฐานความงาม’ ขึ้นมาขยายผลต่อยอด เพื่อสื่อสารถึงรูปแบบความงามที่ ‘แตกต่าง’ กันไปในแต่ละพื้นถิ่น หรือในแต่ละทวีปบนโลก
ด้วยการชูประเด็นที่เปิดกว้างขึ้นเช่นนี้ เวทีประกวดนางงามจึงสามารถขับเน้นคุณค่าความงามใน ‘มาตรฐานอื่นๆ’ ได้ด้วย และผู้ชนะของมิสยูนิเวิร์สก็ไม่จำเป็นต้อง ‘สวยแต่รูป’ หรือมีมาตรฐานความงามที่ตอบโจทย์กับความนิยมกระแสหลักของสังคมโลก ณ เวลานั้นอีกต่อไป แต่ความงามที่แท้จริงควรเป็นความงามที่มาจาก ‘ข้างใน’ ซึ่งก็คือ ‘ความคิด’ ของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า
ดังนั้น เราจึงได้มีโอกาสเห็นนางงามเชื้อชาติต่างๆ ที่ถึงจะไม่ได้ ‘สวยหมดจด’ ตามธรรมเนียมนิยม แต่ก็สามารถเข้ารอบการประกวดลึกๆ ได้ หรือแม้แต่เห็นนางงามที่เป็น ‘ผู้ชนะ’ ในตำแหน่งต่างๆ มีความหลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสะท้อน ‘น้ำเสียงของผู้คน’ หรือสื่อสารถึง ‘ปัญหาทางสังคมที่ควรถูกพูดถึง’ ผ่านการตอบคำถามจากกองประกวดได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางความคิดของตัวนางงามเอง เช่นเดียวกับในปีนี้ที่ ตูซาร์ วินต์ ลวิน มิสยูนิเวิร์สเมียนมา ได้ออกมาชูป้าย Pray For Myanmar เพื่อต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศบ้านเกิด จนสามารถคว้ารางวัล ‘ชุดประจำชาติยอดเยี่ยม’ ไปครองได้

...
อย่างไรก็ดี จากความเปลี่ยนแปลงที่กล่าวไปในข้างต้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเพราะอแมนด้า-ตัวแทนผู้แข็งแกร่งของไทย-ไม่มีศักยภาพ จึงไม่สามารถคว้าตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สที่ผู้ชมคาดหวังมาได้ แต่เนื่องจากเวทีการประกวดเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องคุณค่าความงามหรือความคิดเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินในการคัดเลือกผู้ชนะ ทว่ายังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นปัจจัยสำคัญด้วย ไม่ว่าจะฐานผู้ชมหรือแหล่งทุนในการสนับสนุนกองประกวดของนางงามแต่ละคน ซึ่งส่งผลในทางตรงและทางอ้อมอย่างปฏิเสธไม่ได้
โดยเฉพาะกับการประกวดมิสยูนิเวิร์สในครั้งที่ 69 นี้ ที่ผลการประกวดอัน ‘ค้านสายตาผู้ชม’ ทำให้เกิดการถกเถียงกันไปทั้งโลก (แอนเดรีย แมซา จากเม็กซิโก เป็นผู้คว้ามงกุฎไป ตามด้วยบราซิล, เปรู, อินเดีย และสาธารณรัฐโดมินิกัน) ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ผิดหวัง แต่ตัวเต็งนางงามหลายคนที่สื่อโลกเคยประเมินหรือถึงขั้น ‘ฟันธง’ กันไว้ว่าจะได้รับรางวัลหรือเข้ารอบลึก กลับไม่ผ่านเข้าไปตามที่คาด จนหลายคนออกมาโจมตีผ่านโซเชียลฯ ว่า การประกวดครั้งนี้อาจมีกระบวนการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส
หากมองจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และหากเป็นจริงตามที่วิเคราะห์กัน การประกวดนางงามหนนี้ ก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นเราว่า ธาตุแท้ของวงการนางงามก็ยังคงหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่า ‘ทุนนิยม’ เหมือนที่เคยถูกโจมตีจากวงวิชาการที่ผ่านมาอยู่ดี และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนเวทีนางงามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการขายความงามผ่านความคิด หรือการสื่อสารประเด็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น ก็ยังเป็นได้แค่ ‘เครื่องประดับ’ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้เวทีนางงาม-และกลุ่มทุนที่สนับสนุนการประกวด-มีท่าทีที่ดู ‘ใส่ใจสังคมโลก’ มากขึ้น
หาใช่เพื่อสะท้อนปัญหาสังคม, เผยแพร่ความแตกต่างหลากหลาย หรือปรารถนาที่จะเห็นโลกสงบสุข ดังที่พยายามโฆษณาเอาไว้เสียใหญ่โต