ประเพณีกินเจี่ยวจึ หรือ ประเพณีกินเกี๊ยวที่ถือปฏิบัติกันในครอบครัวคนจีนช่วงตรุษจีน มีที่มายาวนานผ่านช่วงเวลาหลายยุคสมัยกว่า 1,800 ปี จนกลายเป็นตำนานเรื่องราวที่เล่าและสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้ หากคุณเคยกินเกี๊ยวในเทศกาลตรุษจีน แต่ยังไม่ทราบประวัติความเป็นมา มาพบคำตอบได้ในบทความนี้
ทำไมต้องกินเกี๊ยวในวันตรุษจีน
ประเพณีการกินเกี๊ยวของชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้นมีที่มาหลายตำนาน จากที่เล่าสืบต่อกันมามี 2 ต้นฉบับดังนี้
ตำนานที่ 1 “เกี๊ยวที่หมายถึงใบหู” กินเพื่อลดความหนาว
ประเพณีกินเจี่ยวจึ (饺子) ที่สืบทอดมากว่า 1,800 ปี มีที่มาจากความนิยมของชาวจีนตอนเหนือ ในยุคปลายราชวงศ์ฮั่น มีแพทย์นามว่า “จางจ้งจิ่ง (张仲景)” ได้คิดสูตรน้ำแกงที่ทำมาจากแป้งห่อเนื้อแกะ พริกและยาขับหนาวที่ผ่านการต้ม เพื่อรักษาอาการหูเปื่อยจากความหนาว แป้งที่นำมาห่อแล้วลักษณะเหมือนใบหูเพื่อแก้เคล็ด เมื่อต้มทำน้ำแกง ผู้ป่วยรับประทานแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะเลือดหมุนเวียน ผู้คนที่ฉลองวันตรุษจีนจึงนิยมทำอาหารชนิดนี้ แล้วเรียกว่าเจี่ยวจึ (饺子)
ตำนานที่ 2 “เกี๊ยวที่หมายถึงโชคลาภ” กินเพื่อรักใคร่กลมเกลียว
ความหมายของเกี๊ยวในอีกความเชื่อหนึ่งที่เล่ากันมาจนถึงทุกวันนี้ พูดถึงความหมายของเกี๊ยวจากตัวอักษรภาษาจีน “เจี่ยวจึ (饺子)” ไปพ้องเสียงกับคำว่า 交 jiāo (新旧交替) ที่มีความหมายว่านำสิ่งเก่ามาแลกสิ่งใหม่ เพื่อให้เข้ากับช่วงเทศกาลปีใหม่จีน ของเก่าไป ของใหม่มา และคำว่าเกี๊ยว “เจี่ยวจึ (饺子)” นี้ยังพ้องกับคำว่า 交 (相交团员) หมายถึงความรักใคร่กลมเกลียวกันในครอบครัว ดังนั้นช่วงวันตรุษจีน “เกี๊ยว” จึงกลายเป็นอาหารมงคลที่ทุกครอบครัวต้องรวมสมาชิกในครอบครัวมากินกันในวันตรุษจีน เพื่อแสดงถึงความรักใครกลมเกลียว ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
...
ความหมายของเกี๊ยวอีกนัยหนึ่ง คือ มีลักษณะเหมือนก้อนเงินก้อนทอง ด้วยลักษณะการห่อที่ต้องจับจีบห่อไส้เอาไว้ ชาวจีนจึงมองว่าอาหารชนิดนี้คือของมงคลที่ขาดไม่ได้ในช่วงเทศกาลสำคัญ นอกจากตรุษจีนแล้วเราอาจจะเห็น “เกี๊ยว” ร่วมเมนูของไหว้ในสารทอื่นของคนจีนด้วย อย่างไรก็ดีกิจกรรมทำเกี๊ยวภายในบ้านนั้น สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ได้มีกิจกรรมทำร่วมกัน รสชาติของเกี๊ยวจึงอร่อยขึ้น เพราะใส่ความตั้งใจลงไปในสูตรทำเกี๊ยวด้วยนั่นเอง
ที่มา : china radio international