ในแต่ละวันจะเป็นวันสำคัญของโลก ซึ่งระลึกถึงบุคคล หรือเรื่องราวสำคัญที่น่าจดจำ และในวันที่ 22 กันยายน เป็นวันสำคัญอะไรนั้น ไทยรัฐออนไลน์รวบรวมเรื่องราวของ “แรด” ในวันแรดโลก (World Rhino Day) มาเล่าสู่กันฟังในบทความนี้

ประวัติและที่มา “วันแรดโลก” ในวันที่ 22 กันยายน

วันอนุรักษ์แรดโลก (World Rhino Day) เริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงการล่าแรดสายพันธุ์ต่างๆ จนใกล้สูญพันธุ์ และบางประเทศก็ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จากความเชื่อที่ว่า นอแรดเป็นยา นั้น เมื่อพิสูจน์องค์ประกอบทางสารเคมีแล้วก็พบว่าเป็นโปรตีนที่ไม่ต่างจากเส้นผมของมนุษย์

“แรด” เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์จัดอยู่ในบัญชีไซเตส ในประเทศไทยเหลือเพียงตัวเดียวที่สวนสัตว์เชียงใหม่เท่านั้น ชื่อ “กาลิ” ถือว่าอยู่ในวัยชรา ซึ่งอายุขัยเฉลี่ยของแรดอยู่ที่ 40 ปี และเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากช้างนั่นเอง

...

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เผยว่าครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยพบแรดชวา และแรดสุมาตรา (หรือที่เรียกว่ากระซู่) ในธรรมชาติ จากหลักฐานพบครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2540 ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทย โดยเคยพบที่รอยต่อระหว่างจังหวัดยะลา และนราธิวาส

จำนวนแรดที่เหลือทั่วโลก มีอยู่ราว 30,000 ตัว โดยส่วนใหญ่เป็นแรดขาว รองลงมาคือ แรดดำ และแรดอินเดีย

องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ประจำประเทศไทย หรือ WWF รายงานการพบแรดไว้ดังนี้

  • แรดอินเดีย 3,300 ตัว
  • แรดดำ 5,000 ตัว
  • แรดขาว 20,400 ตัว
  • แรดชวา 44 ตัว

ทำไมต้องอนุรักษ์ “แรด” ในวันแรดโลก

ภาพจากองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย
ภาพจากองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย

จำนวนประชากรแรดที่ลดลง จนใกล้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ ถือได้ว่าเกิดจากฝีมือล่าของมนุษย์ ที่นำชิ้นส่วนอวัยวะของแรดไปใช้ประโยชน์ส่วนตน โดยเฉพาะ นอแรดที่เชื่อว่าเป็นยา และส่วนหนึ่งนำไปเป็นเครื่องประดับ

"แรด" ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ป่าสงวนขึ้นบัญชีหมายเลข 1 ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ปัจจุบันการล่าแรดก็ทำให้แรดสูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทย ในอดีตเคยพบแรดที่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และแรดตัวสุดท้ายในละแวกนี้ที่พบคือ “แรดชวา” ที่ถูกสังหารในปี พ.ศ. 2553 ที่ประเทศเวียดนาม

ตลาดการค้าขายนอแรดใหญ่ที่สุดพบที่ประเทศเวียดนาม การจัดวันแรดโลกขึ้น ถือเป็นการปลูกฝังค่านิยมให้คนรุ่นใหม่ เลิกความเชื่อการล่าเอานอแรดมาทำเป็นยาและเครื่องประดับ เพื่อลดใช้สิ่งของที่นำมาจากการล่าสัตว์ป่าเพื่อประโยชน์ของมนุษย์

ที่มา : องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย