ธรรมเนียมการสร้างพระพิมพ์ในประเทศไทยมาแต่โบราณกาลนั้น กล่าวกันว่าทำขึ้นเพื่อสืบต่ออายุพระศาสนาให้ถาวร โดยมีการสร้างคราวละมากๆ เช่น 84,000 องค์เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ สร้างแล้วจึงมีการฝังดินหรือบรรจุไว้พระเจดีย์ ถือคติว่าในภายภาคหน้า ถึงแม้พระเจดีย์ปูชนียสถาน จะสูญสลายไป ใครไปขุดเจอพระพิมพ์ก็จะได้เห็นพระพุทธรูป ทำให้ระลึกถึงพระพุทธศาสนาทำให้ไม่สูญสิ้นไป สำหรับการสร้างพระสมเด็จฯนั้น เหตุผลอันหนึ่งที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้ริเริ่มสร้างขึ้นมานั้น ก็เนื่องมาจากท่านปรารถนาที่จะทำตามคติของพระมหาเถระในอดีตที่มักสร้างพระพิมพ์บรรจุไว้ในปูชนียสถานต่างๆ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว ท่านจึงได้สร้างพระสมเด็จฯไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีประวัติปรากฏชัดเจนว่ามีอยู่สามวัดคือวัดระฆังฯ วัดบางขุนพรหม (วัดใหม่อมตรส) และวัดเกศไชโย

น่าสนใจว่าพระสมเด็จฯที่ท่านสร้างในแต่ละวัดเหล่านี้เป็นพระที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุลงกรุพระเจดีย์หรือสร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายอย่างเดียวโดยไม่มีการบรรจุกรุ (หรือมีทั้งสองอย่าง) โดยในตอนนี้ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอข้อมูลและมุมมองที่อาจจะมีความแตกต่างจากที่เคยมีการพูดกันในอดีตไปบ้าง เพื่อประโยชน์ในการศึกษาพระสมเด็จฯตามหลักวิชาการพิสูจน์หลักฐาน

กรณีพระสมเด็จวัดระฆังฯนั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (เที่ยง อคฺคธมฺโม ป.ธ.9) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ได้เคยเล่าถึงเรื่องกรุพระเครื่องสมเด็จฯไว้ในหนังสือ “ตำนานพระเครื่องสมเด็จ และปฐมอัครกรรม” พิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2519 สมัยที่ท่านดำรงสมณศักดิ์ที่พระศรีวิสุทธิโสภณ โดยกล่าวไว้ว่า

“...วัดระฆังมีกรุพระเครื่องสมเด็จ ๖ แห่ง ...กรุแรกได้แก่พระปรางค์สร้างขึ้นในยุคต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชศรัทธาสร้างร่วมพระกุศล กับสมเด็จพระพี่นางองค์ใหญ่สมเด็จกรมพระยาเทพสุดาวดี กรุ ๒-๓-๔-๕ คือพระเจดีย์ ๔ มุมทางทิศอิสาณ-บูรพา-หรดี-พายัพ ของพระอุโบสถ กรุ ๖ ตั้งอยู่ทางท้ายวัดห่างจากกำแพงพระอุโบสถด้านทิศตะวันตกประมาณ ๒๐ วา พระปรางค์และเจดีย์แต่ละแห่งภายในกลวงเป็นโพรงรูปสัณฐานเป็นไปตามแนวข้างนอก ลักษณะคล้ายห้องใต้ดินหรืออุโมงค์ถ้ำในภูเขาอับทึบเนื่องจากไม่มีช่องระบายลม เฉพาะพระปรางค์ทำห้องพิเศษไว้ ๑ ห้อง มีประตูปิดเปิดได้ มีบันไดขึ้นลงทางทิศตะวันออก สูงจากระดับพื้นดินถึงห้องพิเศษประมาณ ๑๐ เมตร ...พื้นห้องพิเศษชั้นบนเคยมีปล่องทะลุถึงตัวกรุชั้นล่างกว้างยาวประมาณ ๑ ฟุต ไม่ทราบว่ามีพร้อมหรือหลังการสร้างพระปรางค์ ต่อมาถึงยุคของท่านเจ้าประคุณฯ ได้บรรจุพระเครื่องสมเด็จบางส่วนไว้ในกรุพระปรางค์ทางปล่องนี้ (เจ้าคุณเที่ยงฯ ยังได้พูดถึงเรื่อง “การตกเบ็ดพระ” ในอดีตไว้ด้วยเช่นกัน โดยบอกว่าเห็นจะมีแต่ที่พระปรางค์วัดระฆังฯโดยตกผ่านปล่องดังกล่าวนี้ซึ่งต่อมาภายหลังมีการโบกปูนทับ และที่วัดใหม่อมตรสหรือวัดบางขุนพรหม)...

...

กรุเจดีย์ ๔ มุมพระอุโบสถเท่าที่ทราบเคยเป็นสถานที่บรรจุพระสมเด็จปิลันท์ของท่านเจ้าคุณพระพุทธบาทปิลันท์ทั้ง ๔ แห่ง เจดีย์ด้านทิศพายัพมีพระเครื่องชนิดอื่น เช่นหลวงพ่อโป้ปนคละอยู่ไม่มากนัก กรุท้ายวัดเป็นเจดีย์ทรงเดียวกันกับเจดีย์มุมพระอุโบสถ บรรจุพระสมเด็จเนื้อผงดินสอ ทั้งกรุเป็นของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ มีแก้วแหวนเงินทองเจือปนอยู่บ้างประปรายเข้าใจว่าเป็นของผู้มาร่วมพิธี...

การบรรจุพระเครื่องสมเด็จในเจดีย์ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ใช้ไม้ระแนงไขว้กันเป็นตาหมากรุก-ตาปูตอกตรึงให้แน่นเสร็จแล้วเอาพระเครื่องสมเด็จวางเรียงแถวเป็นตับๆทำเช่นนี้เกือบถึงยอดเจดีย์ บางแห่งบรรจุไว้ในไหโบราณวางซ้อนกันไว้ ครั้นกาลเวลาผ่านไปนับศตวรรษ เนื้อผงฉาบภายนอกองค์พระหมดน้ำเชื้อสมาน กระเทาะร่อนล่วงลงมากองอยู่พื้นกรุเรียกว่า “ผงกรุ” ถ้าเป็นพระปรางค์เก่าเจดีย์เก่าเรียกว่า “ผงกรุพระเก่า” ถึงโบราณสถานแห่งอื่นก็มีวิธีการทำนองเดียวกัน ยกเอากรุวัดระฆังมาบอกเล่า เพราะได้รู้รายละเอียดใกล้ชิด” (หนังสือของเจ้าคุณเที่ยงฯ ได้ระบุรายชื่อบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับวัดระฆังฯในอดีตในฐานะผู้ให้ปากคำไว้หลายท่านด้วยกัน เช่น พระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ หลวงพ่อขวัญ วิสิฏโฐ พระผู้เฒ่าของวัดระฆังฯในอดีต พระครูบริหารคุณวัตร์ เจ้าอาวาสวัดใหม่อมตรสในขณะนั้น เป็นต้น)

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลกระแสหลักในวงการพระสมเด็จฯตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น ความเห็นส่วนใหญ่นั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็คือพระสมเด็จวัดระฆังฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้น เป็นพระที่ท่านสร้างขึ้นตามวาระต่างๆโดยไม่ได้ลงกรุ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ที่ความเห็นส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากการที่พระสมเด็จวัดระฆังฯองค์ครู หรือที่ตรียัมปวายเรียกว่ากลุ่มพิมพ์ทรงหลวงวิจารณ์เจียรนัยนั้น ไม่พบเจอคราบกรุติดอยู่เลย (ยกเว้นกรณีพระสองคลองที่ฝากกรุวัดบางขุนพรหม) ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตท่านทำพระแล้วแจกจ่ายเลย แต่ก็มีประเด็นคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่พระสมเด็จวัดระฆังฯนั้นเมื่อสร้างเสร็จแล้วถูกนำไปบรรจุลงกรุพระเจดีย์เช่นกัน ดังที่มีการกล่าวไว้ในหนังสือของเจ้าคุณเที่ยงฯ เพียงแต่พระสมเด็จฯเหล่านั้นอาจจะอยู่ในกรุพระเจดีย์ไม่นานนักก็มีผู้ลักลอบนำออกไป ทำให้ยังไม่ทันมีคราบกรุบนองค์พระ (เจ้าคุณเที่ยงฯได้บอกไว้ด้วยว่า เมื่อมาอยู่วัดระฆังฯท่านได้เห็นแต่ความว่างเปล่าของบรรดากรุเจดีย์เท่านั้น) การที่มีผู้ลักลอบนั้นก็เนื่องมาจากความนิยมในองค์พระสมเด็จวัดระฆังฯที่มีมาตั้งแต่สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นที่เลื่องลือ ดังปรากฏในหนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ของพระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง อิฏฐาจาโร) ความตอนหนึ่งว่า “เจ้าคุณพระราชธรรมภาณี วัดระฆังฯว่า คราวหนึ่งเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช่วง) ได้เล่าให้คนคุ้นเคย ๒-๓ คนฟัง ว่าแม่พิมพ์พระสมเด็จได้บรรจุไว้ในพระเจดีย์องค์ที่ ๑ ที่ในวัดระฆังฯ ต่อมาสัก ๓-๔ วันพระเจดีย์องค์นั้นได้ถูกทำลายพังหมด”

สำหรับกรณีของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น โดยความตั้งใจของผู้สร้าง คือเสมียนตราด้วงที่อาราธนาท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมาทำพิธีปลุกเสกเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2413 นั้น (ตำราบางเล่มบอกว่าเริ่มสร้างพระมาตั้งแต่ พ.ศ. 2411) ต้องการที่จะบรรจุพระสมเด็จฯลงในกรุพระเจดีย์ใหญ่เป็นจำนวน 84,000 องค์ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯบางท่าน เช่น อาจารย์ประจำ อู่อรุณ บอกว่า อาจมีพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมบางส่วน ที่สร้างแล้วไม่ได้บรรจุกรุด้วยเช่นกัน ตรียัมปวาย ได้อธิบายถึงเรื่องการบรรจุพระสมเด็จกรุวัดบางขุนพรหม ไว้ในหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 โดยพูดถึงลักษณะภายในขององค์พระเจดีย์ใหญ่เมื่อคราวเปิดกรุครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2500 ว่า

“...ภายในกรุมีเขนง ก่อด้วยอิฐ ขวางกันเป็นกากบาท สูงเป็นแผ่นผนังตั้งขึ้นไปในทางดิ่ง ทำให้มีลักษณะเป็นทรงมะเฟือง ๔ กลีบ นอกจากจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างและยึดตรึงองค์พระสถูปไม่ให้ทรวดเซแล้ว ยังมีลักษณะเป็นผนังแบ่งเนื้อที่ภายในของพระเจดีย์ออกเป็น ๔ ส่วนเท่า ๆ กันอีกด้วย และแต่ละละแวกเป็นกรุซึ่งบรรจุพระสมเด็จฯ ไว้เป็นจำนวนมหาศาล ...บนยอดเขนงทั้ง ๔ กลีบ จะมีพระสมเด็จฯ วางเรียงรายโดยตลอด แต่ละละแวกของกรุมีช่องลมประจำอยู่ (ตรียัมปวายบอกว่า เป็นช่องสำหรับตกพระสมเด็จฯ ในอดีต) ลักษณะของพื้นกรุเป็นทราย และพระสมเด็จฯ ก็กองอยู่กับพื้นทรายนั่นเอง ปราศจากภาชนะห่อหุ้มหรือรองรับแต่ประการใด มีเศษดินมากมายทับถมพระอยู่เต็มไปหมดทั้ง ๔ ละแวก (ดินเหล่านี้มาจากการตกพระที่มีการปั้นดินเป็นลูกตุ้มหย่อนลงมา) ...ตามโครงหลืบของฐานบัวภายในองค์พระเจดีย์ จะมีพระสมเด็จฯ เรียงรายอยู่โดยรอบ (เป็นบริเวณที่ตกพระไม่ถึงเนื่องจากเป็นซอกหลืบ) ...มีแกนเหล็กของปล้องไฉน ยื่นยาวมาจากส่วนของยอดเจดีย์ จนถึงประมาณแนวกึ่งกลางความสูงขององค์พระเจดีย์ แกนเหล็กนี้เป็นสนิมสึกกร่อน และสันนิษฐานว่า ในฤดูฝน น้ำฝนที่ซึมมาตามยอดปล้องไฉน สลับกับความชื้นและความอบอ้าวภายในกรุ ทำให้เกิดละอองน้ำจับแกนเหล็ก และเกิดสนิมปนน้ำไหลลงมาถูกเนื้อพระสมเด็จฯ บางส่วน ...บนคอระฆัง ซึ่งเชื่อกันเป็นหนักหนาว่าน่าจะมีพระสมเด็จฯ บรรจุไว้บ้าง แต่ปรากฏว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ปีนขึ้นไปสำรวจดู ก็ไม่ปรากฏเลย”

...

สำหรับพระสมเด็จวัดเกศไชโยนั้น ตำราของพระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง อิฏฐาจาโร) พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 ได้กล่าวไว้ดังนี้ “ว่าครั้งแรกเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จครบจำนวน ๘๔,๐๐๐ ครั้งที่ ๒ จะสร้างอีก ๘๔,๐๐๐ เป็นพระชนิด ๗ ชั้น ด้วยประสงค์จะเอาไปบรรจุไว้ที่วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง แต่สร้างได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องการนั้น (จะสร้างได้จำนวนเท่าไหร่หาทราบไม่) วันหนึ่งท่านบอกกับนายเทศ บ้านถนนดินสอ หลังตลาดบ้านขมิ้น ธนบุรี ว่าพระของท่านเห็นจะไม่แล้ว เพราะท่านจะถึงมรณภาพเสียก่อน จึงให้เอาพระคะแนนร้อยและคะแนนพันที่สร้างในครั้งแรก มาเพิ่มเข้ากับพระที่สร้างในครั้งหลังจนครบ ๘๔,๐๐๐ แล้วเอาไปบรรจุที่ในเจดีย์วัดไชโย ต่อมาไม่ช้าท่านก็ถึงมรณภาพ เพราะเหตุนี้พระสมเด็จที่กรุวัดไชโยจึงเป็นพระชนิด ๗ ชั้นโดยมาก (ข้อมูลในเรื่องการนำพระสมเด็จฯ ไปบรรจุที่วัดไชโยนี้ ใกล้เคียงกับตำราของตรียัมปวาย ที่มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพียงแต่อาจมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันบ้าง) ตำราของพระครูกัลยาณานุกูล ยังกล่าวอีกว่า “เจ้าคุณพระมหาพุทธพิมพาบาล (วร) เจ้าอาวาสวัดไชโย ว่า เมื่อหลายปีมาแล้วพระเจดีย์ที่บรรจุพระสมเด็จพัง ท่านได้รวบรวมพระสมเด็จบรรจุไว้ที่ฐานพระโตในพระวิหารวัดไชโย” อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บอกว่า พิมพ์แข้งหมอน นั้นเป็นพิมพ์นิยมของชาวบ้านบริเวณใกล้วัดไชโยวรวิหารมาตั้งแต่ครั้งอดีต
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ อีกหลายท่านบอกว่า พระสมเด็จวัดเกศไชโยนั้น เป็นพระที่ไม่ได้บรรจุกรุ บางท่านบอกว่าไม่มีการแตกกรุออกมาจากพระใหญ่ บางท่านบอกว่าพบเจอคราบกรุบาง ๆ อย่างไรก็ตาม “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” อนุมานว่า พระสมเด็จเกศไชโยที่ไม่บรรจุกรุนั้นมักจะต้องมีการฝนขอบเพื่อลดความคม

...

บทส่งท้าย

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า ประเด็นเรื่องพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ว่ามีการบรรจุกรุหรือไม่บรรจุนั้น ยังเป็นข้อถกเถียง ไม่สามารถสรุปฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าว่ากันตามแนวทางการพิจารณาพระสมเด็จฯตามหลักวิชาการพิสูจน์หลักฐานแล้ว ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับน้ำหนักของพยานหลักฐานที่นำมาสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระบรรจุกรุหรือไม่ ไม่น่าจะใช่ประเด็นสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าเป็นพระแท้ของสมเด็จโตหรือไม่ การกำหนดลักษณะหรือตำหนิบางอย่างโดยปราศจากเหตุผลหรือหลักวิชาการรองรับในอดีต เช่น พระสมเด็จวัดเกศไชโยที่ไม่ฝนขอบนั้นไม่ใช่พระแท้ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่คล้ายกัน เป็นเรื่องที่ควรถูกตั้งคำถามสำหรับผู้ศึกษาพระสมเด็จฯ เพื่อหาพระแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตหรือไม่

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูปพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม องค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระองค์ปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์เศียรบาตรอกครุฑ ที่งดงามมากองค์หนึ่ง สภาพผ่านการใช้ มีคราบขี้กรุปกคลุมองค์พระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีวรรณะสีขาวอมเหลือง พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีเอกลักษณ์ของพิมพ์ทรงคือ จะไม่มีเส้นซุ้มด้านล่าง มีความคมชัด ขอบพระไม่ปรากฏขอบปลิ้นชัดเจนนัก ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ ปรากฏรอยรูปคล้ายใบโพธิ์ตรงกลาง เป็นการสึกหรอจากการใช้ มีคราบสีน้ำตาลคล้ายน้ำมันตังอิ๊ว มีริ้วรอยยับย่น เป็นองค์ต้นแบบที่ดี เพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

...

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม