ขั้นตอนในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯที่สำคัญมากอีกขั้นตอนหนึ่งก็คือการรักษาผิวพระสมเด็จฯ เพื่อช่วยยืดระยะเวลาการสึกกร่อนของผิวสัมผัสขององค์พระให้อยู่คงทนได้เป็นร้อย ๆ ปี โดยเมื่อผ่านขั้นตอนการขึ้นรูปองค์พระและตัดขอบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมชิ้นฟักเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำองค์พระมาตาก ปล่อยให้แห้งตัว ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน (อ้างอิงจากหนังสือ “ปูนน้ำมันกับน้ำมันชนิดต่างๆ” โดยฐิติ หัตถกิจ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร พิมพ์เมื่อปี 2564) หลังจากนั้นจึงมีการเคลือบหรือทาผิวพระด้วยวัสดุที่มีคุณสมบัติในการรักษาผิวพระเพื่อช่วยลดการสึกหรอจากการใช้บูชา จากการสัมผัสโดนน้ำโดนเหงื่อหรือแม้กระทั่งน้ำลายเมื่ออมพระไว้ในปาก การรักษาผิวดังกล่าวก็เช่นมีการลงรัก ซึ่งรักมีอยู่หลายประเภท เช่น รักดำ รักน้ำเกลี้ยง (บางตำราบอกว่ามีการทาด้วยน้ำว่าน น้ำหมาก หรือยางไม้บางชนิด) พระบางองค์อาจจะมีการปิดทองล่องชาดอีกด้วย

อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยอธิบายว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้น เกือบทั้งหมดผ่านการลงรัก เพียงแต่เมื่อผ่านกาลเวลาคราบรักมักจะหลุดล่อนออกจนเกือบหมด ทำให้มองเห็นได้ยาก วิธีสังเกตพระสมเด็จฯแท้ที่มักผ่านการลงรักหรือที่เรียกว่า ทฤษฎีฝ้ารัก ก็คือ “พระสภาพเดิมๆ หากมีองค์ประกอบครบสมบูรณ์ ต้องถนอมรักษาไว้ แต่หากเป็นพระที่เคยถูกใช้แล้วเก็บไว้นาน จนดูซีดเซียวครึ่ง ๆ กลาง ๆ หากไม่แน่ใจ วิธีพิสูจน์ทราบง่าย ๆ ก็คือจุ่มน้ำอุ่น น้ำอุ่นจะเข้าไปดูดซับเอาคราบฝ้ารารัก ออกมาให้เป็นแผ่นสีแดง เมื่อน้ำแห้ง ฝ้าสีแดงจะจางจมหายไปบ้าง หรืออาจจะเหลือไว้บ้าง ก็ช่วยเสริมเสน่ห์ให้พระที่ขาวซีดมีสีสันเพิ่มขึ้น”

...

หนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย ได้พูดถึงเรื่อง การลงรักปิดทอง ของพระสมเด็จฯ โดยอ้างถึงบันทึกของนายกนก สัชชุกร ที่ได้บันทึกเรื่องราวจากการสัมภาษณ์พระธรรมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตไว้ดังนี้ “ในโอกาสที่กำลังสร้างพระสมเด็จฯนั้น ได้มีชาวบ้านถนนตีทองนิมนต์เจ้าพระคุณสมเด็จฯไปเทศน์เสมอ และได้เอาทองเปลวใส่กัณฑ์เทศน์มาด้วยครั้งละมาก ๆ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงได้เอาพระสมเด็จฯลงรักน้ำเกลี้ยงและปิดทองบ้าง การปิดทองนั้นมิได้เลือกปิดว่าเป็นพระคะแนนหรือเป็นการพิเศษแต่อย่างไร คงปิดไปตามจำนวนแผ่นทองที่ได้รับถวายในครั้งนั้น ๆ และการที่พระสมเด็จฯส่วนมากไม่ได้รับการปิดทองก็เพราะว่าจำนวนทองเปลวมีน้อยกว่าจำนวนพระเป็นอันมาก”

สำหรับ การลงทองล่องชาด (ทาชาดลงในระหว่างสิ่งที่ทาทองหรือปิดทองแล้ว, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ความหมายเดียวกับ ร่องชาด) ตรียัมปวาย บอกว่าเท่าที่แน่นอนได้แก่ พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ซึ่งท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯลงทองล่องชาดไว้จำนวนหนึ่ง แล้วเอารักทาด้านหลังเพื่อติดกับแผ่นกระดาน (พบหลักฐานว่าคนสมัยก่อนนิยมใช้รักเป็นตัวเชื่อมองค์พระติดกับกรอบพระที่ทำจากไม้ โดยมีการขุดไม้เป็นร่องตรงกลางขนาดใหญ่กว่าองค์พระเล็กน้อย เทน้ำรักสีดำลงในร่องพอประมาณ แล้วจึงวางองค์พระลงไป เมื่อรักแห้งองค์พระจะติดกับกรอบไม้อย่างถาวร) โดยมีรายละเอียดว่า “พระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงนี้เท่าที่ปรากฏสำหรับของวัดระฆังฯ มักจะถูกลงรักน้ำเกลี้ยง หรือลงทองล่องชาดเอาไว้และด้านหลังจะมีรอยรักยาติดกับแผ่นกระดาน และแผ่นหนึ่ง ๆ จะติดพระไว้ประมาณ ๒๐ องค์ เพื่อเตรียมจะเอาไว้ประดับพระอุโบสถหรือที่ใดที่หนึ่ง ไม่ทราบแน่ชัด แต่ยังมิได้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ท่านก็สิ้นเสียก่อน ต่อมา เจ้าสัวสอน ขุนบาลหวย ก.ข. สมัยรัชกาลที่ ๕ (คนละคนกับเจ้าสัวหง) มาได้แผ่นกระดานติดกับพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ไปจากวัดระฆังฯ แผ่นหนึ่ง และได้เอาแผ่นกระดานที่มีพระสมเด็จฯติดอยู่นั้นติดไว้บนจั่วหน้าบ้านเพื่อความสิริมงคล เพราะเจ้าสัวมีความเคารพเลื่อมใสเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นอันมาก ต่อมาเมื่อเจ้าสัวสอนถึงแก่กรรม ทางครอบครัวได้รื้อเรือนหลังนั้นถวายวัดจักรวรรดิ แผ่นกระดานซึ่งมีพระสมเด็จฯติดอยู่จึงตกไปอยู่ที่วัดจักรวรรดิด้วย ต่อมาจึงได้มีผู้พยายามแกะพระสมเด็จเหล่านั้นออกจากกระดาน แต่เนื้อรักนั้นยาติดแน่นหนามาก จึงทำให้พระแตกหักชำรุดไปหลายองค์ จึงได้มีผู้คิดวิธีใหม่ขึ้นได้ โดยการตัดแผ่นกระดานตามแนวขอบของพระ และฝนเนื้อไม้ทั้งด้านหลังและด้านข้างจนบาง จึงคลายความเทอะทะไป ดังนั้น พระสมเด็จฯพิมพ์ทรงนี้ ซึ่งได้รับการเกลาความหนาแน่นของแผ่นกระดานออกแล้ว เมื่อพิจารณาทางด้านข้าง จะเห็นเป็น 3 ชั้น คือเนื้อพระสีขาวหรือสีลงทองร่องชาด เนื้อรักสีดำที่ใช้ติดพระกับแผ่นกระดานและเนื้อกระดาน”

ตรียัมปวาย ยังได้อธิบายถึงแนวทางดูลักษณะของพระสมเด็จวัดระฆังฯที่ผ่านการลงรักปิดทอง และลงทองล่องชาดไว้ดังนี้

“การลงรักเก่าทองเก่าทำในระยะแรก ๆ เมื่อสร้างเสร็จ ...เมื่อเนื้อรักบาง ๆ ที่ฉาบเนื้อพระได้ล่อนหลุดออกจากผิวเนื้อไปแล้ว ถ้าเป็นเนื้อหนึกนุ่มจะดูดเอาวรรณะของรักซึมลงไปใต้ผิวเนื้อด้วย ทำให้พระหม่นคล้ำจัดขึ้น และเศษรักเก่าทองเก่ายังติดตามซอกเล็กน้อย ทำให้พระเด่นงามขึ้นมาก ถ้าเป็นเนื้อหนึกแกร่งเนื้อรักก็จะแทรกอยู่กับริ้วรอยการแตกลายงาโดยตลอด เรียกว่า ร่องเรขารัก (พระที่มีเนื้อหนึกแกร่งที่มีการจุ่มรักมักจะมีการแตกลายงาเฉพาะด้านหน้าองค์พระ พระเนื้อหนึกนุ่มมักไม่แตกลายงา) ทำให้วรรณะของเนื้อค่อนข้างขาวใสสลับกับหม่นและวรรณะเลือดหมูของร่องเรขารัก เป็นลักษณะลายพร้อย...”

“การลงทองร่องชาด มีลักษณะทำนองเดียวกับรักเก่าทองเก่า แต่การล่อนของชาดเก่ามีน้อยกว่ารักเก่า และชาดเก่าที่ลงไว้ก็มักจะมีสัณฐานหนากว่ารักเก่าด้วย ถ้าเป็นเนื้อหนึกนุ่มจัด เนื้อจะไม่แตกลายงา (เช่น พิมพ์ปรกโพธิ์ที่มักมีเนื้อหนึกนุ่ม) แต่บริเวณที่ชาดกะเทาะหลุดออก เนื้อจะมีลักษณะดูดซึมวรรณะแดงของชาดไว้เช่นเดียวกัน...”

...

อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ อาวุโส ได้อธิบายว่า “รักส่วนใหญ่ที่นำมาใช้รักษาผิวพระนั้น เป็นรักจากประเทศจีน ในตอนแรกมีสีดำ มีการนำมาผสมกับหินผงสีแดงมีราคาแพง นำเข้ามาจากประเทศจีนเช่นกัน ทำให้เป็นสีออกทับทิม ช่างลงรักปิดทองจะรู้จักหินผงชนิดนี้ดี รักที่ดีนั้นจะแห้งช้า โดยก่อนปิดทอง จะมีการลงรักพื้นก่อนเป็นรักสีดำเข้มหนา แล้วปล่อยให้แห้ง จากนั้นจึงลงรักน้ำใส สำหรับรักน้ำเกลี้ยงหรือรักน้ำใสนั้นมักใช้ในการรองพื้นแล้วปล่อยให้แห้งก่อนปิดทอง รักดำนั้นจะมีความข้นและหนา ถ้าปิดทองบนรักน้ำข้น ทองจะจมลงในเนื้อรักที่มีความหนา การลงรักปิดทองนั้น ถ้าทำจากวัด คือบางขุนพรหม ปิดเฉพาะองค์พระมาที่ฐาน ซุ้ม พื้นไม่ปิด และปิดก่อนเข้ากรุ พบเจอได้น้อย ส่วนวัดระฆังฯ เป็นการปิดทองทีหลัง ได้มาแล้วจึงนำมาปิดลงนะหน้าทอง”

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าแนวทางการดูรักเก่าทองเก่าหรือชาดเก่าในเบื้องต้นนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเปรียบเทียบกับพระเก่าชนิดอื่น ๆ ที่ทราบถึงอายุของรักเก่าทองเก่าหรือชาดเก่าที่ติดมากับองค์พระนั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมาศึกษาเปรียบเทียบกับพระสมเด็จฯที่กำลังพิจารณาว่ามีลักษณะใกล้เคียงกันหรือไม่

บทสรุป

พระสมเด็จวัดระฆังฯส่วนใหญ่นั้นน่าจะผ่านการลงรัก วัตถุประสงค์ก็เพื่อถนอมรักษาผิวพระให้มีคงทนต่อการสึกหรอจากการใช้งาน ช่วยให้พระสมเด็จวัดระฆังฯผ่านกาลเวลาได้เป็นร้อย ๆ ปี “ทฤษฎีฝ้ารัก” ของอาจารย์ประกิต หลิมสกุล นั้นมีประโยชน์อย่างมากในการนำมาช่วยพิจารณา พระสมเด็จวัดระฆังฯอีกบางส่วนยังมีการปิดทองหลังจากลงรัก หรือแม้กระทั่งมีการลงทองล่องชาด แนวทางการพิจารณาของครูอาจารย์หลาย ๆ ท่านตามแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นนั้นถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยพิจารณาพระสมเด็จฯแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตตามหลักการพิสูจน์หลักฐาน

...

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงเจดีย์ องค์ครู ที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง สภาพค่อนข้างสมบูรณ์, วรรณะขาวอมน้ำตาล, เนื้อหนึกแกร่ง, ผิวแตกลายงาซึ่งเกิดจากการลงรัก (พระเนื้อหนึกนุ่มมักไม่แตกลายงา), มีเนื้อรักลงเหลือตามผิวพระบ้าง (รักที่หลงเหลือในรอยแตกลายงาแสดงให้เห็นถึงความเป็นพระแท้ตามตำราตรียัมปวาย), มีเม็ดพระธาตุปรากฏให้เห็น, มีรอยรูพรุนเข็ม, พื้นผนังองค์พระปรากฏรอยหนอนด้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อพระวัดระฆังฯ, พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา, ซุ้มผ่าหวายมีขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลักษณะของพระสมเด็จวัดระฆังฯ (วัดบางขุนพรหมมักมีขนาดเล็กกว่า), พื้นผนังเป็นระนาบเรียบซึ่งเป็นลักษณะเด่นของพระสมเด็จฯ, ตัดขอบพอดีกรอบบังคับแม่พิมพ์, ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ, มีร่องรอยยุบย่น, มีรอยริ้วระแหงบริเวณด้านบน, มีรอยปูไต่ (ขอบปริกระเทาะ) เล็กน้อยทั้งสี่ด้านที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า (มักพบในวัดระฆังฯ), เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม

...