หนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย ได้บันทึกถึงขั้นตอนการสร้างพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ไว้ว่า “...สมเด็จฯ กรมพระบำราบปรปักษ์ อีกทั้งเจ้าวังหลังพระองค์หนึ่ง รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ก็ได้ทรงช่วยแบบพิมพ์สี่เหลี่ยมด้วย...” สมเด็จฯ กรมพระบำราบปรปักษ์นั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงรับราชการในกรมวัง ดูแลภายในพระบรมมหาราชวัง และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังทรงดำรงตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่ง ทรงเป็นประธานของพระบรมวงศานุวงศ์ จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ทราบว่า ท่านเจ้าประคุณฯ ได้รับความช่วยเหลือในการสร้างแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ จากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงในขณะนั้น และน่าเชื่อว่าท่านยังได้รับการสนับสนุนจากกรมช่างสิบหมู่ในราชสำนักอีกด้วย (มีการกล่าวไว้ในตำราหลายเล่มว่า พระบรมวงศ์ชั้นสูงพระองค์นี้ยังได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ในหลายโอกาสหลายวาระด้วยเช่นกัน โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำมาถ่ายทอดในโอกาสที่เหมาะสม)

พระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้น ถือว่าเป็นงานศิลปกรรมในหมวดหมู่ของช่างปูนปั้น ซึ่งถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของช่างสิบหมู่ อันเป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล โดยมีการจัดตั้งเป็นกรมเรียกว่า กรมช่างสิบหมู่ อยู่ในการดูแลของราชสำนักมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

ปูนปั้น ปูนโขลก ปูนตำ เป็นชื่อเรียกปูนชนิดเดียวกัน ที่ผ่านกระบวนการตำหรือโขลกมาแล้ว การตำหรือโขลก หรือการบดย้ำด้วยแรงกระแทก เพื่อให้วัสดุที่ผสมลงไป หรือส่วนประกอบต่างๆ ปนกันหรือเข้ากันอย่างดี มีส่วนผสมหลักๆ เช่น ปูนขาว (เกิดจากการนำเปลือกหอย หรือหินปูน มีลักษณะเป็นก้อน สีขาวขุ่นหรือสีเทา นำมาเผาจนสุกแล้วจึงนำไปบด ร่อน กรอง หมักปูน ฯลฯ จนสุดท้ายได้ออกมาเป็นปูนขาว) ทราย เส้นใย กาว ฯลฯ ส่วนผสมอาจแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น กรณีของพระสมเด็จฯ นั้น ปูนขาวที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ นั้น ตำราที่น่าเชื่อถือบอกว่าน่าจะทำมาจากปูนเปลือกหอย (มีหนังสือบางเล่มบอกว่า การสร้างพระสมเด็จฯนั้นไม่น่าจะใช้ปูนเปลือกหอยเนื่องจากเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่น่าจะเหมาะสม แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน)

...

ปูนตำนั้นนิยมใช้ในงานปั้นปูนมาแต่โบราณ สืบทอดมาสู่ช่างรุ่นหลัง ตามแต่ละท้องที่ เรียกว่า “ปูนตำโบราณ” ช่างปั้นปูนในจังหวัดเพชรบุรีเป็นแหล่งสำคัญที่ยังสามารถถ่ายทอด ดำรงรักษาสูตรปูนตำและกรรมวิธีแบบโบราณไว้ได้เป็นอย่างดี ตำราบางเล่มบอกว่า ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในช่วงรัชสมัยของ ร.4 ถึง ร.5 นั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในเรื่องศิลปกรรมปูนปั้น ระหว่างช่างเมืองเพชร และช่างสิบหมู่ในราชสำนักอีกด้วย

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2402 รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯให้มีการสร้างพระราชวังฤดูร้อน ที่พระนครคีรี หรือเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี อันเป็นแหล่งศิลปกรรมอันลือชื่อสกุลช่างเมืองเพชร ที่มีสูตรการทำปูนปั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ขนานใหญ่ระหว่างช่างหลวงที่เดินทางไปจากพระนครหลวง กับช่างสกุลเมืองเพชรที่มีการสืบทอดองค์ความรู้สกุลช่างของตนเองมาตั้งแต่ครั้งอยุธยา มีความโดดเด่นไม่แพ้ช่างสิบหมู่ ดังที่มีผู้กล่าวกันว่า “งานศิลปกรรมของสกุลช่างเมืองเพชรนั้น เหมือนกับอยุธยาที่มีชีวิต” การทำปูนตำของพระสมเด็จวัดระฆังฯในกลุ่มเนื้อนิยม ที่ได้รับการช่วยเหลือจากช่างหลวงในราชสำนักนั้น อาจจะใช้วิธีการหรือสูตรการตำ ที่ใกล้เคียงกับงานปูนปั้นของสกุลช่างเมืองเพชรก็เป็นไปได้

งานปูนปั้นสกุลช่างเมืองเพชร มีขั้นตอนสำคัญ เช่น ในการเตรียมปูนขาวที่ได้จากการเผาปูนเปลือกหอยนั้น ต้องนำปูนขาวไปแช่น้ำหมักทิ้งไว้เป็นเวลา 1 เดือน เรียกว่า การหมักปูน เพื่อลดความเค็มของปูน (ลดความเป็นด่าง) ทั้งยังช่วยให้ปูนเหนียว เมื่อนำไปใช้จะจับตัวได้ดี การตำปูน ที่ต้องใช้วิธีการตำที่เหมาะสม มีการตำจนเนื้อมีความละเอียดเพียงพอ เมื่อผ่านกาลเวลา จึงจะได้เนื้อพระที่มีความละเอียดหนึกขึ้นเงา

เอกสารตำราเรื่อง “รายงานองค์ความรู้เรื่องการปั้นปูนในงานสถาปัตยกรรมไทย” โดยสำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ได้อธิบายถึงงานศิลปกรรมประเภทนี้ไว้ว่า งานปูนปั้น (ปูนตำ) นั้นมีความหมายถึง ลวดลายหรือภาพที่เกิดจากการปั้นปูน เพื่อใช้ประดับตกแต่ง ถือเป็นงานศิลปกรรมของช่างไทยที่มีมาแต่โบราณ โดยปูนตำมีส่วนผสมของปูนขาวเป็นหลัก นำไปตำหรือโขลกผสมกับทราย กาว และเส้นใย ตามสัดส่วนของช่างแต่ละพื้นที่ (เช่น งานปูนตำโบราณของสกุลช่างเมืองเพชรที่มีการสืบทอดฝีมือมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน มีฝีมือไม่แพ้ช่างส่วนกลางหรือช่างสิบหมู่) เมื่อตำส่วนผสมให้ละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวแล้ว ปูนจะเหนียวเนียน สีขาวนวล เมื่อจับดูจะนุ่ม ทรงตัวอยู่ได้ดี เมื่อปั้นได้รูปทรงแล้ว ปล่อยให้ถูกอากาศจะแข็งตัวในเวลาไม่นานนัก เมื่อเวลาผ่านไปเนื้อปูนจะยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น สำหรับขั้นตอนสำคัญของการทำปูนตำโบราณประกอบด้วย การหมักปูนขาว (โรยปูนขาวลงในน้ำ กวนให้เข้ากันจนเหลวข้น ร่อนบนตะแกรงคัดเศษหยาบออก หมักน้ำ ตากแดด) การผสมกาว (ผสมกาวหนัง น้ำ เคี่ยวบนเตาจนละลาย เติมน้ำตาลทราย กวนจนเหนียวข้นคล้ายน้ำผึ้ง – สันนิษฐานว่าคราบเหนียวสีคล้ายน้ำผึ้งที่พบบนพระสมเด็จฯอาจจะเป็นกาวหนังนี้ก็เป็นได้) การเตรียมทรายและหมักเยื่อกระดาษ (ร่อนทรายละเอียด ฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กแช่หมักน้ำ จนเปื่อยยุ่ยมีเนื้อนุ่ม เมื่อจะใช้ตำ จึงตักมาพักให้สะเด็ดน้ำ) ขั้นตอนการตำปูนโบราณ (ใส่เยื่อกระดาษในครก ใส่ทรายร่อนละเอียด ตำเยื่อกระดาษและทรายให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ปูนขาวตามอัตราส่วน คลุกปูนขาวให้ผสมกับทรายและกระดาษที่ตำแหลกแล้วให้ทั่ว เติมน้ำกาวตามอัตราส่วนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตำย้ำเรื่อยๆ เนื้อปูนเริ่มจับตัวเป็นเกล็ดร่วนๆ และเริ่มจับตัวเป็นก้อนใหญ่ขึ้นและจะเริ่มแน่นและมีความเหนียวหนึบ ไม่ติดก้นครก เป็นอันเสร็จขั้นตอน)

...

อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยกล่าวไว้ว่า เนื้อพระสมเด็จฯเนื้อครูนั้นมีคุณค่าเปรียบเสมือนเนื้อเพชรเม็ดงามเลยทีเดียว

บทสรุป

ในกระบวนการสร้างพระสมเด็จฯนั้น ขั้นตอนการตำปูนมีความสำคัญมาก วิธีการตำปูนตามตำราโบราณนั้น ทำให้เนื้อพระสมเด็จวัดระฆังฯ กลุ่มเนื้อองค์ครูนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว ดังที่ตรียัมปวายเคยอธิบายไว้ว่า เนื้อพระสมเด็จฯนั้นเป็นเนื้อพระที่มีความละเอียด (เป็นลักษณะของพระเนื้อผง) การที่เนื้อบางองค์มีลักษณะหยาบนั้นเกิดจากการคลุกเคล้าไม่เข้ากันของเนื้อหามวลสาร การที่จะได้มาซึ่งเนื้อพระสมเด็จฯที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือที่เรียกว่า “เนื้อครู” นั้น มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ต้องผ่านขั้นตอนที่พิถีพิถัน โดยเฉพาะการตำที่ต้องตำให้ละเอียดถึงขนาด ตามองค์ความรู้ของช่างชั้นครู ระดับช่างหลวงในราชสำนัก ที่เข้ามาช่วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต สร้างพระสมเด็จฯในขณะนั้น

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์เจดีย์ ที่มีความงดงาม ผ่านการใช้พอสมควร ผิวพระมีความซึ้ง มีเงาสว่าง เนื้อหนึกแกร่ง ปรากฏรอยแตกลายงาจากการลงรักบริเวณผิวด้านหน้าองค์พระ (พระเนื้อหนึกแกร่งเมื่อลงรัก มักเกิดการแตกลายงา) มีวรรณะขาวอมเหลือง มีคราบคล้ายรักปรากฏตามร่องหลุมและตามรอยแตกลายงาซึ่งเป็นลักษณะของพระแท้ตามตำราตรียัมปวาย) มีคราบสีน้ำตาลคล้ายคราบน้ำมันตังอิ๊วปรากฏเป็นหย่อมๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา เส้นซุ้มผ่าหวายมีขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลักษณะของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก รอยริ้วระแหงให้เห็น มีรอยปูไต่ (รอยปริกะเทาะตามขอบ) ซึ่งมักมีในพระสมเด็จวัดระฆังฯปรากฏให้เห็น เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

...

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม