อาจารย์วิชัย อุทัยสุทธิวิจิตร (ลิ้ม กรุงไทย) ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ ในยุคสมัยที่พระสมเด็จวัดระฆังฯ เริ่มมีมูลค่าขึ้นหลักหมื่นหลักแสน ได้กล่าวถึงลักษณะพิมพ์ทรงของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ไว้ในหนังสือ “อนุสรณ์ ครบ 100 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2515 ไว้ว่า
“...ที่เรียกกันทั่วไปว่า พิมพ์ทรงพระประธานนั้น มีลักษณะรูปทรงคือ พระพักตร์กลม พระเกศยาวคล้ายเปลวเพลิง ไหล่ยก อกตั้ง เข่าโค้งน้อยๆ ช่วงแขนและการซ้อนพระกรผึ่งผายยิ่งนัก ประทับนั่งสมาธิในอาการอันสงบ สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่นี้ ดูเหมือนแล้วจะได้รับความบันดาลอันเกิดขึ้นจากพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังมาก
พระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังนี้มีรูปลักษณะอันงดงามยิ่งนัก เนื้อทองสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ สร้างเลียนแบบพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง (อยุธยา) ตามประวัติกล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชลอมาอยู่ที่วัดระฆังนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านคงจะได้เข้ามาปฏิบัติและบำเพ็ญสมาธิในพระอุโบสถนี้เป็นประจำ พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ของท่านคงจะได้รับแบบอย่างและนิมิตรไปจากพระพุทธรูปองค์นี้”
ตรียัมปวาย ได้พูดถึงพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ทรงพระประธาน (พิมพ์ใหญ่) ว่าเป็นพิมพ์ทรงที่ได้รับอิทธิพลมาจาก พุทธศิลป์โบราณชั้นคลาสสิก คือพุทธศิลป์สกุลช่างสุโขทัย เชียงแสน และอู่ทอง หรือเรียกว่าเป็นแบบ พุทธศิลป์ประณีต
ตรียัมปวายยังได้กล่าวไว้ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 ด้วยว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์พระประธาน (พิมพ์ใหญ่) สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 พิมพ์ทรงย่อย ประกอบด้วย พิมพ์เขื่อง พิมพ์โปร่ง พิมพ์ชะลูด พิมพ์ป้อม พิมพ์สันทัด และพิมพ์ย่อม อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นผู้หนึ่งที่ได้นำองค์ความรู้ของตรียัมปวายในเรื่องพิมพ์ทรงย่อยต่างๆนี้ มาอธิบายขยายความโดยประกอบกับองค์ความรู้ของท่านในคอลัมน์ “ปาฏิหาริย์จากหิ้งพระ” อย่างน่าสนใจ
...
นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ คอลัมนิสต์พระเครื่องประจำนิตยสารพรีเชียสของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้แยกพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ออกเป็น 4 แบบ คือพิมพ์พระประธาน พิมพ์อกวี พิมพ์อกกระบอก และพิมพ์เกศทะลุซุ้ม และยังได้สรุปตำหนิสำคัญของพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ไว้ 11 ประการ โดยหนึ่งในนั้น คือ “องค์พระจะหันตะแคงไปทางด้านขวามือองค์พระเล็กน้อย...”
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เคยนำเสนอว่า “เมื่อพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูที่เป็นกลุ่มพิมพ์ใหญ่ จะพบว่ามีลักษณะพิเศษที่ต่างจากกลุ่มพิมพ์อื่นอีกสี่พิมพ์ ที่ประกอบด้วย พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เกศบัวตูม และพิมพ์ปรกโพธิ์ กล่าวคือพิมพ์อื่นยกเว้นพิมพ์ใหญ่เมื่อมองตรงๆ จากด้านหน้า จะมีลักษณะค่อนข้างสมมาตรทั้งในส่วนของเส้นซุ้มผ่าหวาย องค์พระ และฐานพระทั้งสามชั้น แต่พิมพ์ใหญ่เมื่อมองตรงๆ จากด้านหน้าจะมีลักษณะไม่สมมาตรโดยไล่ลงมาตั้งแต่การวางตัวของพระเกศ ลำพระองค์ ฐานทั้งสามชั้น เส้นซุ้มผ่าหวาย แม้กระทั่งเส้นกรอบกระจกที่ครอบรอบเส้นซุ้มผ่าหวาย แต่เมื่อทดลองหมุนตะแคงองค์พระทวนเข็มนาฬิกา ไปประมาณ 30-45 องศา แล้วมองตรงๆ จากมุมเดิมจะพบว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ จะมีลักษณะเข้าสู่สมมาตร ...”
การที่พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ มีลักษณะเช่นนี้ก็เนื่องมาจาก ขณะที่กำลังแกะแม่พิมพ์นั้นช่างผู้แกะได้จินตนาการว่าได้มององค์พระประธานจากการนั่งบนพื้นพระอุโบสถแล้วมองจากด้านหน้าค่อนไปทางด้านซ้ายมือขององค์พระประธาน
เมื่อพิจารณาประกอบกับการแกะแม่พิมพ์พระในส่วนอื่นนอกเหนือจากองค์พระแล้วไม่ว่าจะเป็นเส้นซุ้มผ่าหวาย หรือเส้นกรอบบังคับพิมพ์ทั้งสี่ด้าน ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับคำอธิบายข้างต้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เคยนำเสนอไว้ด้วยว่า ช่างที่แกะแม่พิมพ์นั้นน่าจะมีความรู้เรื่อง “ทัศนียภาพ” (การมองแบบ 3 มิติ เช่นเดียวกับที่เห็นด้วยตาจริง) ซึ่งเป็นทฤษฎีของศิลปะตะวันตกเป็นอย่างดี ซึ่งในยุคเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนนั้นน่าจะต้องเป็นช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) หรือช่างทองหลวงในราชสำนักเท่านั้น จึงจะมีความสามารถระดับนี้ โดยช่างเหล่านี้น่าจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากช่างฝีมือชาวตะวันตกที่เข้ามารับใช้ราชสำนักไทยในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้มีความสอดคล้องกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์พระสมเด็จฯหลายอย่างที่ตรียัมปวาย ได้บันทึกไว้ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1
ด้วยเหตุผลนี้ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า การที่จะทำความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงของพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ กลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานหรือพิมพ์นิยมให้ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องนั้น จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องหลักการของ “ทัศนียภาพ” ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีหลักการพื้นฐานดังต่อไปนี้
1. วัตถุที่มีขนาดเท่ากันเมื่ออยู่ไกลตัวออกไปจะมีขนาดเล็กหรือสั้นลง
2. เส้นที่คู่ขนานกันเมื่อไกลออกไปจะพุ่งไปสู่จุดรวม
3. วัตถุต่างๆ เมื่ออยู่ไกลตัวออกไป จะมีรายละเอียดและความชัดเจนลดลงไปตามลำดับ
ซึ่งถ้าเข้าใจถึงหลักการเหล่านี้แล้ว จะทำให้สามารถเข้าใจถึงที่มาที่ไปของตำหนิพิมพ์ทรงต่างๆส่วนใหญ่ ที่ครูอาจารย์รุ่นก่อนๆได้นำมาอธิบายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และอาจจะสามารถทำให้กำหนดตำหนิพิมพ์ทรงอื่นๆเพิ่มเติมที่ได้มาจากการพิจารณาพระสมเด็จฯอย่างจริงจังได้อีกด้วยเช่นกัน “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ซึ่งจะทำให้การพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตยกตัวอย่างตำหนิพิมพ์ทรงประการหนึ่งที่เปรียบเสมือนความลับหรือเส้นผมบังภูเขา ที่สามารถนำหลักการ “ทัศนียภาพ” มาอธิบายได้ กล่าวคือเมื่อพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังฯองค์ครูพิมพ์ใหญ่ทุกองค์ จะเห็นว่า พระชานุ (หัวเข่า) ทางด้านซ้ายมือองค์พระ มักจะอยู่ห่างจากเส้นซุ้มผ่าหวายด้านซ้ายมือองค์พระ เป็นระยะที่มากกว่า ระยะห่างระหว่าง พระชานุ (หัวเข่า) ด้านขวามือองค์พระไปยังเส้นซุ้มผ่าหวายด้านขวามือองค์พระเสมอ โดยหลักการพิจารณาตามหลัก “ทัศนียภาพ” นี้สามารถนำไปพิจารณาส่วนอื่นๆขององค์พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ได้ทั้งหมดเช่นกัน
...
องค์ความรู้เรื่องตำหนิพิมพ์ทรงนี้เป็นองค์ความรู้ขั้นพื้นฐาน โดยเมื่อสามารถแยกแยะพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ ที่เข้าลักษณะตำหนิพิมพ์ทรงถูกต้อง (ตรงตามหลักทัศนียภาพทั้งหมด หรือตรงเป็นส่วนใหญ่) ออกมาได้แล้ว จึงนำไปพิจารณาเรื่องเส้นสายลายเซ็นตามทฤษฎี “ลายเซ็นพระสมเด็จฯ” ว่าเป็นพระสมเด็จฯที่แกะแม่พิมพ์โดยช่างชุดเดียวกันหรือสกุลเดียวกับช่างหลวงที่แกะแม่พิมพ์กลุ่มพระสมเด็จฯองค์ครูหรือไม่เป็นขั้นตอนต่อไป
บทสรุป
การพิจารณาพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จโต โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่นั้น สามารถที่จะนำหลัก “ทัศนียภาพ” (การมองแบบ 3 มิติ ตามที่ตาเห็นจริง) มาช่วยในการพิจารณาได้ องค์ความรู้นี้สามารถที่จะทำให้เรียนรู้ถึงที่มาที่ไปของตำหนิพิมพ์ทรงต่างๆที่ครูอาจารย์รุ่นก่อนๆนำมาอธิบายได้เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงสามารถที่จะช่วยสร้างองค์ความรู้ของตนเองจากการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญได้ด้วยเช่นกัน มีผู้กล่าวไว้ว่า ความรู้เรื่องพระสมเด็จฯนั้นสามารถเรียนรู้ทันกันได้ถ้าศึกษาอย่างถูกทางและมีความตั้งใจจริง
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงาม ผ่านการใช้งานพอสมควร ทำให้ผิวพระเกิดความซึ้ง เนื้อหนึกแกร่งผสมหนึกนุ่ม ไม่ปรากฏรอยแตกลายงาชัดเจนนัก มีวรรณะขาวอมเหลือง มีคราบคล้ายรักน้ำเกลี้ยงปรากฏบนผิวทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ ตัดขอบพอดีกรอบบังคับพิมพ์ มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก รอยริ้วระแหงให้เห็น รอยปูไต่ (รอยปริกะเทาะตามขอบ) ไม่ชัดเจนนัก อาจเกิดจากการฝนขอบ มีร่องรอยคล้ายการเข้ากรอบด้านหลัง เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
...
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์