ตรียัมปวายได้กล่าวไว้ว่า เคล็ดลับในการศึกษาพระเครื่องก็คือ “จงทำความเข้าใจในหลักทฤษฎี และใช้หลักทฤษฎีนั้นๆ ฝึกหาความชำนาญจากการปฏิบัติ ฯลฯ” การทำความเข้าใจเรื่องทฤษฎีพระสมเด็จฯนั้น ส่วนใหญ่ได้มาจากการศึกษาหนังสือตำราที่เกี่ยวกับพระสมเด็จฯซึ่งมีอยู่มากมาย ในตอนนี้ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอหนังสือตำราต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องและพระสมเด็จฯที่มีการจัดทำขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยเก่าหลายสิบปีก่อน จนถึงยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นข้อมูลให้กับท่านผู้สนใจได้ใช้ในการพิจารณาหนังสือตำราพระสมเด็จฯ
หนังสือยุคแรกๆที่มีการพูดถึงพระพิมพ์หรือพระเครื่องของไทย คือหนังสือ “ตำนานพระพิมพ์” เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศสผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พิมพ์ขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2469 (อ้างอิงจากคำนำหนังสือโดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภาในสมัยนั้น) โดยบอกว่าพระพิมพ์ (มักจะต้องมีแม่พิมพ์ในการสร้างองค์พระ) ที่ได้พบในพระราชอาณาจักรสยามนั้น แบ่งออกเป็น 6 หมวด ตามที่สืบสวนได้จากพระราชพงศาวดารสยามคือ หมวดที่ 1 แบบพระปฐม พบว่าบางครั้งเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนกอบัว ที่ก้านบัวมีพระยานาค 2 ตัวประคอง บางครั้งเป็นรูปพระพุทธเจ้าแวดล้อมไปด้วยพระพุทธเจ้าอีกหลายพระองค์ หรือที่เรียกว่าเป็นลักษณะของมหาปาฏิหาริย์ ซึ่งมีปรากฏในตำนานพระพุทธรูปทุกประเทศ มีจารึก “เย ธัมมา” เป็นภาษาบาลี เขียนด้วยตัวอักษรคฤนถ์ หรืออักษรขอมโบราณ ที่ด้านหลังพระ ทำขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 950 ถึง พ.ศ. 1250 หมวดที่ 2 แบบถ้ำมลายู เกือบทั้งหมดทำด้วยดินดิบ เป็นรูปพระโพธิสัตว์แบบมหายาน สร้างราวๆ พ.ศ. 1450 – 1550 หมวดที่ 3 แบบขอม อยู่ในสมัยเดียวกับแบบถ้ำมลายูหรือใหม่กว่าเล็กน้อย มีลักษณะเครื่องแต่งกาย รูปพรรณ คล้ายกับรูปสลักของขอมโบราณ มีเครื่องประดับอย่างเดียวกับลัทธิมหายาน หมวดที่ 4 แบบสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปเดินหรือพระปางลีลา และไม่แต่เฉพาะพระพิมพ์เท่านั้น ในช่วงเวลานั้นแม้กระทั่งพระพุทธรูปหล่อและงานสลักอื่นๆ ก็เป็นพระลีลาโดยมากเหมือนกัน ยุคนี้อยู่ราวๆ พ.ศ. 1750 – 1950 หมวดที่ 5 แบบอยุธยา มักเป็นรูปพระพุทธเจ้ามีท่าตามปางต่างๆ คือนั่งบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง นอนบ้าง อยู่ใต้ชั้นเล็กๆ เรียกว่า เรือนแก้ว โดยมากมักจะทำด้วยดิน ลงรักปิดทอง สร้างขึ้นภายหลัง พ.ศ. 1950 หมวดที่ 6 พระเครื่องต่างๆ เป็นพระขนาดเล็ก ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ ได้พูดถึง “พระอยู่คง” (ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า และน่าจะหมายรวมถึง “พระคง” ที่เป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันด้วย) โดยบอกว่าเป็นของเก่าแก่มากที่สุด ทำขึ้นที่วัดพระคง ตั้งอยู่ข้างนอกเมืองลำพูนทิศเหนือ เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิพฤกษ์ ขุดได้บริเวณนี้เป็นจำนวนหลายร้อยหลายพันองค์ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า พระเครื่องหรือพระพิมพ์ในกลุ่มนี้เป็นต้นกำเนิดของพระเครื่องในยุคหลัง รวมถึงพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ด้วยเช่นกัน หนังสือเล่มนี้ยังได้ให้ความรู้พื้นฐานในการศึกษาเรื่องของพระพิมพ์ที่เกี่ยวโยงกับศาสตร์สาขาต่างๆ รวมถึงพุทธศิลปกรรม อาณาจักรโบราณ จารึกโบราณ และโบราณคดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับพระพิมพ์ไม่น้อย
...
หนังสือ “ประวัติขรัวโต” ที่แต่งโดย พระยาทิพโกษา (สอน โลหนันทน์) เมื่อปี พ.ศ. 2473 ถือว่าเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติสมเด็จโตชิ้นแรกๆ ที่พบว่ามีการเขียนขึ้นมา เนื้อหาเกิดจากการที่ ม.ล.สว่าง เสนีย์วงศ์ และนายพร้อม สุดดีพงศ์ ที่ได้สัมภาษณ์เจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) อดีตพระฐานานุกรมของสมเด็จโต โดยขณะที่สัมภาษณ์ ท่านเจ้าคุณฯ อยู่ในวัย 88 ปี (เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2386 และมรณภาพในปี พ.ศ. 2477 เมื่อมีอายุได้ 92 ปี พรรษา 70) ในเวลาต่อมาทั้งสองท่านนี้ยังได้เข้าไปชมจิตรกรรมฝาผนังประวัติสมเด็จโตที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม (ถูกลบทิ้งในปี พ.ศ. 2493 ก่อนที่จะมีการบูรณะใหม่ในปี พ.ศ. 2535) และได้คัดลอกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย
มีผู้อ้างอิงถึงงานเขียนชิ้นนี้ไว้มาก รวมถึงในหนังสือ “ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1” ที่เขียนโดย ตรียัมปวาย (นามแฝงของ พ.อ.ประจน กิติประวัติ) แต่ยังไม่เคยพบการเผยแพร่ต้นฉบับลายมือนี้แต่อย่างใด บันทึกพระยาทิพโกษาฉบับสมบูรณ์ที่มีการจัดพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะมีหลายครั้ง เช่นเมื่อครั้งงานศพของบุตรชายนายโชติ โลหนันทน์ เมื่อ พ.ศ. 2512 ที่พิมพ์เฉพาะ “ตอนต้น” และพิมพ์รวมเล่ม “ตอนปลาย” ถัดมาหนึ่งปีในหนังสืองานศพของนางส้มจีน ทิพโกษา (โลหนันทน์) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้มีการคัดถ่ายทอดกันมาหลายครั้ง จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยควรมีการตรวจสอบกับแหล่งข้อมูลอื่นๆด้วย
หนังสือยุคใกล้เคียงกันที่น่าสนใจคือ หนังสือ“พระพิมพ์เครื่องรางกับพระพุทธรูปบูชา” ของ ร.อ.หลวงบรรณยุทธชำนาญ (สวัสดิ์ นาคะสิริ) ซึ่งตรียัมปวาย กล่าวว่าเป็นเชษฐาจารย์ทางพระเครื่องฯ และบอกว่ารู้สึกเสียใจและเสียดายที่ไม่มีโอกาสเข้าไปศึกษาเรียนรู้ด้วยเพราะหลวงบรรณยุทธฯท่านสิ้นไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ตรียัมปวายได้มีการอ้างอิงเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวกับแนวทางศึกษาพระเครื่องของหนังสือเล่มนี้ ไว้ในงานเขียนของท่านบางเล่มด้วยเช่นกัน ต้นฉบับเขียนไว้เมื่อปี พ.ศ. 2488 มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องพระบูชา พระกรุต่างๆ ในแต่ละยุคสมัย โดยได้เขียนถึงพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ไว้ไม่มากนัก แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจเป็นพื้นฐานให้ผู้สนใจได้ไปศึกษาต่อยอด
สำหรับหนังสือตำราพิจารณาพระสมเด็จฯ “ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1” ของตรียัมปวาย พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 นั้น ถือว่าเป็นตำราหลักของวงการพระสมเด็จฯ สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการรวบรวมบันทึกจากผู้ที่ได้เคยสอบถาม พระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) ศิษย์ผู้ใกล้ชิดของ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ในเรื่องประวัติการสร้างของพระสมเด็จฯ ซึ่งท่านต่างๆ เหล่านั้นเป็นบุคคลที่มีฐานะตำแหน่งน่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นพยานหลักฐานในลักษณะของพยานบอกเล่าที่มีน้ำหนักน่ารับฟัง หนังสือเล่มนี้ยังได้มีการอธิบายแนวทางพิจารณาพระสมเด็จฯอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก โดยมีทฤษฎีทางวิชาการรองรับ มีรูปภาพประกอบการบรรยาย โดยที่รูปภาพพระสมเด็จฯ หลายๆ องค์ในหนังสือเล่มนี้ยังเป็นรูปภาพของพระสมเด็จฯองค์ครูที่มีค่านิยมสูงมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้อาจจะมีข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อนไปบ้างเล็กน้อย เนื่องจากข้อจำกัดในการค้นคว้าหาข้อมูลในอดีต แต่ก็ไม่ทำให้เกิดการลดทอนคุณค่าและความน่าเชื่อถือของหนังสือเล่มนี้ลงได้เลย
...
ในปี พ.ศ. 2495 ปีเดียวกับที่ ตรียัมปวาย ออกหนังสือ “ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1” ได้มีหนังสืออีกสองเล่มที่น่าสนใจพิมพ์ออกมา เล่มแรกคือหนังสือ“ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)” ของพระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง อิฏฐาจาโร) แห่งวัดกัลยาณมิตร พระมหาเฮงฯ ได้คัดลอกเนื้อหาบางส่วนของหนังสือ “ประวัติขรัวโต” ของพระยาทิพโกษา (สอน) ในส่วนของบันทึกความจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 16 ภาพ โดยตีพิมพ์ไว้ท้ายเล่มฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2495 สำหรับหนังสืออีกเล่มคือ “ประวัติและเกียรติคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)” โดย ฉันทิชัย (ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์) โดยมาจากการรวบรวมเนื้อหาพิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยสาร “ตำรวจ” หนังสือทั้งสองเล่มนี้จะเน้นไปที่ประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระสมเด็จฯ ไม่มากนัก แต่ก็มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สามารถนำไปช่วยตรวจสอบยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากแหล่งอื่นๆได้พอสมควร
หนังสือที่เกี่ยวกับพระสมเด็จในยุคต่อมาได้มีการทำออกมาอีกหลายเล่มที่น่าสนใจคือ หนังสืออนุสรณ์ครบ 100 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2515 หนังสือของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ โดยเฉพาะหนังสือ “สามสมเด็จ” พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2523 หนังสือ “พระยอดนิยม” ของอาจารย์ประจำ อู่อรุณ พิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 หนังสือ “พระสมเด็จเกศไชโยและพระเครื่องเมืองอ่างทอง” โดยเทศมนตรีเข่ง อ่างทอง และอาจารย์อ้า สุพรรณ พิมพ์ปี พ.ศ. 2528 หนังสือ “สุดยอดพระเบญจภาคี” ของอาจารย์กิตติ ธรรมจรัส พิมพ์ปี พ.ศ. 2536 หนังสือ “เบญจภาคี” ของ โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย พิมพ์ปี พ.ศ. 2542 หนังสือ “คู่มือดูพระอย่างถูกวิธี” ของอาจารย์ศุภชัย เรืองสรรงามสิริ พิมพ์ปี พ.ศ. 2556 หนังสือ “หิ้งพระพลายชุมพล” พิมพ์ปี พ.ศ. 2566 ของอาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งคอลัมน์พระเครื่องยอดนิยม “ปาฏิหาริย์จากหิ้งพระ” ที่อยู่คู่กับคอลัมน์พระเครื่องอันโด่งดัง “สนามพระวิภาวดีฯ” ของนักเขียนอาวุโสมากฝีมือ “สีกาอ่าง” แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
...
สำหรับหนังสือประเภทนิตยสารนั้นที่โดดเด่นคือ นิตยสารอาณาจักรพระเครื่อง ของอาจารย์ปรีชา เอี่ยมธรรม ตีพิมพ์ฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ. 2517 และนิตยสารพรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2542 เป็นจำนวน 29 ฉบับ นิตยสารพรีเชียสนั้นมีผู้กล่าวว่า เป็นนิตยสารที่ได้รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จฯ ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในยุคสมัยที่พระสมเด็จฯ มีราคาค่านิยมสูง
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตอ้างถึงข้อเขียนของอาจารย์ภัทรพล บุญลือพันธุ์ แห่งนิตยสารสปิริต นิตยสารพระเครื่องยุคใหม่ที่เป็นที่นิยมอย่างมากอีกเล่มหนึ่ง และยังเป็นผู้จัดทำหนังสือทำเนียบพระพันตา อันโด่งดัง พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2551 ที่มีการรวบรวมพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่วัดระฆังโฆสิตาราม ขึ้นทำเนียบพระพันตากว่า 130 องค์ โดยข้อเขียนดังกล่าวที่เขียนไว้ในหนังสือทำเนียบพระพันตา ได้พูดถึงนิตยสารพรีเชียส ไว้ดังนี้
“...ในยุคที่พระสมเด็จฯ มีราคาสูงขึ้นอยู่ในระดับหลักหมื่นหลักแสนราวปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เริ่มมีการจัดทำหนังสือพระเครื่องออกจำหน่าย มีการเขียนบทความถ่ายทอดวิชาการพิจารณาพระสมเด็จฯ ผ่านหนังสือให้เห็นอยู่บ้าง แต่ยังขาดความชัดเจนที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานในการศึกษาอย่างมีมาตรฐานได้
กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงยุคพระสมเด็จฯ มีราคาสูงขึ้นอยู่ในหลักหลายสิบล้านในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ผศ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้จัดทำหนังสือพระเครื่องพรีเชียสออกจำหน่าย นำบทความถ่ายทอดวิชาการพิจารณาพระสมเด็จฯ ของ อ.วิโรจน์ ใบประเสริฐ ออกพิมพ์เผยแพร่ ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับอย่างดียิ่ง และด้วยการถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเปิดใจไม่ปิดบังอำพราง ทำให้ได้รับการยอมรับจากผู้ชำนาญการในวงการพระเครื่องว่าเป็นวิชาการที่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานได้อย่างดีเยี่ยม และทำให้ผู้ชำนาญการในวงการพระเครื่องมีหลักการพิจารณาพระสมเด็จฯ ไปในแนวทางเดียวกัน จากนั้นมาในวงการพระเครื่องมีผู้ชำนาญการในเรื่องการพิจารณาพระสมเด็จฯ เกิดขึ้นอีกมากมายหลายท่าน ซึ่งล้วนใช้บรรทัดฐานในการพิจารณาเช่นเดียวกัน และต่างค้นพบเทคนิคในการจดจำจุดตำหนิจุดสังเกตต่างๆ ไว้เป็นเคล็ดลับเฉพาะตนประกอบการพิจารณา ...”
...
หนังสือตำราพระสมเด็จฯ ทุกเล่มที่ทำขึ้นมาโดยความตั้งใจที่ดีนั้นย่อมมีคุณค่าอยู่ในตัว หนังสือตำราเกี่ยวกับพระสมเด็จฯ ที่น่าสนใจที่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ไม่ได้กล่าวถึงนั้น ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยข้อจำกัดบางประการ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
บทส่งท้าย
ในการศึกษาพระสมเด็จฯ นั้น การเข้าใจเรื่องทฤษฎีส่วนหนึ่งได้มาจากการศึกษาหนังสือตำราเกี่ยวกับพระสมเด็จฯ ซึ่งมีอยู่มากมาย หลักการพิจารณาพยานหลักฐานสามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้ หนังสือตำราที่อธิบายโดยอ้างอิงพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงหลักวิชาการที่สามารถเชื่อมโยงไปยังท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้ ย่อมน่าเชื่อถือกว่าหนังสือตำราที่กล่าวอ้างขึ้นลอยๆ หาหลักฐานเชื่อมโยงไม่ได้ ขาดหลักวิชาการสนับสนุน หรือมีการอ้างหลักวิชาการ แต่เป็นการอ้างแบบผิดๆ หรืออวดอ้างคุณสมบัติเกินจริง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เชื่อว่าความจริงย่อมต้องเป็นความจริง สิ่งที่ไม่เป็นความจริงย่อมต้องถูกเปิดเผยออกมา เพราะความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูปพระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระองค์ปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงาม ผ่านการใช้งานค่อนข้างมาก ทำให้ผิวพระเกิดความซึ้งจัด มีเงาสว่าง เนื้อหนึกนุ่ม และน่าจะผสมผงเกสรดอกไม้พอสมควร มีวรรณะขาวอมน้ำตาล มีคราบคล้ายรักน้ำเกลี้ยงปรากฏบนผิวทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ ตัดขอบพอดีกรอบบังคับพิมพ์ มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯ แท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือ เม็ดพระธาตุ, รอยหนอนด้น (มีค่อนข้างมาก), และรอยรูพรุนเข็ม และยังสังเกตเห็นก้อนสีเทาหลายจุด พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก, รอยริ้วระแหงให้เห็น บริเวณขอบมีร่องรอยการใช้งาน มีรอยปูไต่ (รอยปริกะเทาะตามขอบ) แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์