ในการเรียนรู้พระสมเด็จฯนั้น นอกจากการทำความเข้าใจถึงลักษณะของพระสมเด็จฯแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ว่ามีลักษณะอย่างไรแล้ว การเรียนรู้ถึงลักษณะของพระสมเด็จฯปลอมนั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน ดังที่มีผู้กล่าวว่าการศึกษาพระสมเด็จฯนั้น ต้องศึกษาจากทั้งพระแท้และพระปลอม

พระสมเด็จฯปลอมนั้นอาจแบ่งได้เป็นสองประเภท ประเภทแรกคือแบบที่ดูง่าย และประเภทที่สองคือแบบที่ดูยากหรือที่เรียกว่า “งานฝีมือ” โดยในตอนนี้ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอลักษณะของพระสมเด็จฯปลอมโดยเรียบเรียงจากองค์ความรู้ของ ตรียัมปวาย ที่บันทึกไว้ในหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 และจากองค์ความรู้ของครูอาจารย์อีกหลายท่าน เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา

ตรียัมปวายบอกว่าลักษณะของปลอมประเภทแรกนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความชำนาญในการพิจารณาเลย เพียงมองเห็นก็บอกได้เลยว่าเป็นของปลอม (คำว่าของปลอมในที่นี้ ตรียัมปวาย พูดรวมๆโดยหมายรวมถึงพระที่สร้างโดยเกจิอาจารย์รุ่นใหม่ด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย) สามารถตัดออกไปจากการพิจารณาได้ทันที โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้

1. แบบที่มีปริมาตรเขื่อง มีขนาดเขื่องต่างๆกัน ตรียัมปวายบอกว่าถ้ามีขนาดเขื่องไปกว่าขนาดพระสมเด็จฯปกติ (เทียบเคียงจากทรรศนภาพที่มีขนาดใกล้เคียงของจริง) ก็ต้องถือว่าเป็นของปลอมทั้งสิ้น

2. รูปเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีทั้งชนิดแบน (นูนต่ำ) และลอยตัว (นูนสูง) มีแบบเป็นกริ่งอยู่ในตัวด้วยแต่เป็นเนื้อผงวรรณะคล้ำเพราะแช่น้ำหมากหรือลงรักปิดทองแบบนี้มีผู้ทำขึ้นมานานแล้ว ที่เป็นของเกจิอาจารย์รุ่นใหม่ก็มี ตรียัมปวายบอกด้วยว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯไม่เคยสร้างรูปตัวท่านเองเลย

3.แบบตราแผ่นดิน มีหลายขนาด ขาวบ้าง หม่นคล้ำบ้าง สัณฐานเขื่องขนาดกล่องบุหรี่ก็มี มีทั้งของเถื่อนและของพระเกจิอาจารย์รุ่นหลัง ของเดิมไม่มีปรากฏอย่างแน่นอน

...

4.แบบที่มีอักษรจารึก ไม่ว่าสัณฐานแบบใด ที่ปรากฏว่ามีอักษรจารึกไว้ ทำนองว่าเป็นลายมือเจ้าพระคุณฯจารึกไว้ให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ เช่น “สมเด็จโต ถวายพระจอมเกล้า” ... หรือ “ถวายเมื่อ ร.ศ.” เหล่านี้เป็นต้น จัดว่าเป็นของเถื่อนโดยไม่ต้องพิจารณา

5.แบบที่มีอักขระเลขยันต์ ต้องถือว่าของจริงไม่มีปรากฏอย่างแน่นอน นอกจากจะเป็นของพระเกจิอาจารย์รุ่นหลังแล้ว นอกนั้นคงเป็นของปลอมทั้งสิ้น

6.แบบที่มีวรรณะประหลาด ของปลอมที่มีวรรณะหม่นเข้มจัด หรือเหลืองจัด ผิดประหลาดไปจากธรรมชาติของเนื้อปูนปั้นตาม รงคทฤษฎี เห็นแล้วสะดุดนัยน์ตา ประดิษฐ์ขึ้นโดยเจตนา เป็นของปลอมโดยไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาในด้านอื่นๆอีกเลย

สำหรับของปลอมประเภทที่สอง หรือที่เรียกว่า “งานฝีมือ” นั้นเป็นประเภทที่ดูยาก ในการทำความเข้าใจนั้นควรจะต้องเรียนรู้ถึงขั้นตอนวิธีการปลอมแปลง

วิธีการปลอมแปลงพระสมเด็จฯงานฝีมือ

การปลอมแปลงพระสมเด็จฯนั้นมีอยู่หลายวิธีการทั้งการปลอมแปลงพิมพ์พระ เช่นการถอดพิมพ์ การแกะองค์พระจากพระเครื่องที่มีลักษณะเนื้อหาพิมพ์ทรงใกล้เคียงกับพระสมเด็จฯ การแกะแม่พิมพ์พระขึ้นมาใหม่ และการปลอมแปลงเนื้อพระ

การปลอมแปลงพิมพ์พระ

การถอดพิมพ์ ในการถอดพิมพ์พระนั้นมีหลายรูปแบบ โดยอาจจะเป็นการนำเอาวัสดุประเภทยาง เช่นซิลิโคน หรือวัสดุประเภทอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน หรืออาจจะมีการใช้ปูนเปลือกหอยมาทำก็ได้เช่นกัน โดยนำมาประกบเข้ากับองค์พระจากนั้นจึงปล่อยให้แข็งตัว แล้วจึงถอดเอาองค์พระออก ทำให้ได้แม่พิมพ์เพื่อใช้กดพระ ตรียัมปวายได้พูดถึงการปลอมแปลงพระที่มีฝีมือใกล้เคียงของแท้รายหนึ่ง ที่เริ่มทำมาประมาณ 40 ปีก่อนหน้านั้น เรียกกันว่า “ฝีมืออานนท์” โดยบอกว่า “เป็นการปลอมแปลงในลักษณะถอดพิมพ์จากของจริง มีการเสริมแต่งเล็กน้อย เพื่อมิให้ลักษณะรางเลือนตลอดจนการหดตัวของเนื้อ ดังนั้น สัณฐานขนาดจึงใกล้เคียงของจริงมาก...” “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าพระถอดพิมพ์นั้นมักจะมีขนาดเล็กกว่าเดิมรวมถึงมีความคมชัดลดลง จึงมักจะต้องมีการเซาะแต่งแม่พิมพ์ จึงมีโอกาสที่จะทิ้งร่องรอยการเซาะแต่งพิมพ์ให้สังเกตเห็น รวมถึงอาจเกิดความผิดเพี้ยนของแม่พิมพ์ได้เช่นกัน นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ แห่งนิตยสารพรีเชียสของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า “..การมีอายุขององค์พระร้อยกว่าปี มีการหดเหี่ยวถึงปัจจุบันจะมีลักษณะอย่างไร ให้นึกถึงว่าถ้ามีการถอดพิมพ์ใหม่ในลักษณะการหดตัวของเส้นลายพระที่เป็นสันนั้น ถ้าถอดพิมพ์ใหม่ เส้นลายจะหลุดติดในแม่พิมพ์”

อาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือสามสมเด็จ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2523 ว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น มีการปลอมแปลงมากที่สุด เหนือกว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯหลายเท่าตัว โดยบอกว่าการปลอมพระสมเด็จบางขุนพรหมระยะหลัง มีการใช้เนื้อเก่าผสมอยู่ถึง 20% (ปลอมโดยวิธีถอดพิมพ์) ทั้งพิมพ์ก็ใกล้เคียงกับของจริงที่สุด โดยเฉพาะคราบผิวทำได้แนบเนียนและพิถีพิถันมาก โดยจะเป็นการปลอมที่ทำได้ดีเฉพาะพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม “กรุใหม่” เท่านั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่า การปลอมพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม “กรุเก่า” รวมถึงการปลอมพระสมเด็จวัดระฆังฯ ด้วยวิธีการถอดพิมพ์นั้น ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถสังเกตเห็นถึงความแตกต่างที่เนื้อพระ ซึ่งปลอมแปลงได้ยากกว่า (ยกเว้นกรณีที่พิสูจน์ได้ว่า เนื้อพระที่แตกต่างออกไปนั้น เป็นเนื้อพระสมเด็จฯที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตเช่นกัน ไม่ใช่เนื้อพระที่ตั้งใจปลอมให้เหมือน)

...

อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้เคยกล่าวไว้ว่าวิธีสังเกตพระที่เกิดจากการถอดพิมพ์แบบหนึ่งก็คือพระถอดพิมพ์นั้น บริเวณเส้นขอบพระจะมีการซ้อนกันมากกว่าหนึ่งเส้น

การแกะองค์พระ เป็นการปลอมแปลงพระโดยแกะองค์พระจากพระเครื่องที่มีลักษณะเนื้อหาพิมพ์ทรงใกล้เคียงกับพระสมเด็จฯ เช่นพระตระกูลสมเด็จฯต่างๆ อาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ ได้กล่าวถึงเรื่องการปลอมแปลงพระสมเด็จบางขุนพรหมกรุเก่า (รวมถึงพระสมเด็จวัดระฆังฯ) ไว้ด้วยว่า “จะนิยมการแกะมากกว่า จากเหตุผลนี้เอง พระเกจิอาจารย์ที่สร้างออกมาในรูป “พระพิมพ์สมเด็จ” อย่างเช่น พระพิมพ์สมเด็จวัดสุทัศน์, วัดกัลยา, หลวงพ่อหม่น, หลวงปู่ปั้น, หลวงปู่ภู หรือวัดฉลิมฯ จึงได้สูญหายไปจากตลาดในระยะนั้นอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะหาตัวอย่างดูไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะได้ถูกนำเอาไปแกะแปลงพิมพ์เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม (กรุเก่า) บ้าง, หรือพระสมเด็จวัดระฆังบ้าง ...” ในเรื่องนี้นั้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าการปลอมแปลงพระโดยวิธีนี้น่าจะสามารถสังเกตได้จากพิมพ์ทรงเส้นสายลายเซ็นที่ค่อนข้างจะผิดเพี้ยนไปจากของแท้และการทิ้งร่องรอยที่เกิดจากการเซาะแต่งรวมถึงความกลมกลืนของเนื้อหาและธรรมชาติความเก่าที่น่าจะผิดเพี้ยนไป

...

การแกะแม่พิมพ์พระขึ้นมาใหม่ พระที่ปลอมแปลงด้วยวิธีนี้น่าจะมีลักษณะผิดเพี้ยนไปจากของแท้ได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสองวิธีแรก จึงน่าจะทำให้สังเกตได้ไม่ยากมากนักทั้งในส่วนของพิมพ์ทรงและเนื้อหารวมถึงธรรมชาติความเก่า

การปลอมแปลงเนื้อพระ

ตรียัมปวาย ได้พูดถึงการปลอมแปลงเนื้อหามวลสารโดยแยกออกเป็นของวัดระฆังฯและวัดบางขุนพรหม โดยบอกว่าเนื้อปลอมแบบวัดระฆังฯนั้นมีทั้งแบบเนื้อละเอียดและเนื้อที่ค่อนข้างหยาบแต่มีความนุ่มนวลเป็นอย่างมาก โดยถ้าใช้เลนส์ขยายขนาด 20 เท่าตรวจดู จะไม่พบลักษณะการกินตัวกับอากาศ (ปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น หรือปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้สารได้รับธาตุออกซิเจนมารวมตัวด้วยหรือทำให้สารสูญเสียธาตุไฮโดรเจนไป) ทำให้ผิวเนื้อดูใหม่สด ตรียัมปวายบอกด้วยว่าความแกร่งก็เช่นเดียวกัน ที่จะยังไม่มีความแกร่งในโครงสร้าง โดยเมื่อทดสอบฟังเสียงกระทบและดูการพริ้วตัว จะออกแนวทึบแป้ก ยังไม่เข้าขั้นสดใส หนักแน่นและกังวานได้ โดยเฉพาะการพริ้วตัวจะมีลักษณะฝืดหรือดูดแผ่นหินอ่อน นอกจากนี้ของปลอมจะปราศจากการหนึก ทรายเงิน ทรายทอง แป้งโรยพิมพ์และการลงทองร่องชาดจะไม่ปรากฏ รักปลอมนั้นเมื่อแช่น้ำร้อนจะหลุดออกจากผิวเนื้อลอยขึ้นมาสู่ระดับน้ำทันที และบริเวณระดับเรี่ยๆกับผิวพระนั้นมวลสารประกอบต่างๆมีปรากฏหนาตากว่าของจริง ลักษณะของผิวเป็นดอกดวงขาวพราวไปทั้งเนื้อ ฯลฯ ในส่วนของเนื้อปลอมแบบบางขุนพรหมนั้น ตรียัมปวายบอกว่าจะปลอมได้ใกล้เคียงกว่าเนื้อวัดระฆังฯ ของปลอมที่ผ่านการใช้ เงาสว่างจะใสยิ่งขึ้น เนื้อที่อยู่ใต้ผิวมีวรรณะหม่นคล้ายของจริง แต่จะปรากฏผงเกสรเทียมสีเลือดหมู ลักษณะเป็นเส้นฝอยคล้ายเส้นยาฉุนที่ฉีกออกเป็นฝอยเล็กๆ แต่ก็มีสัณฐานใหญ่กว่าผงเกสรของจริงมาก เป็นต้น

...

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตแสดงความเห็นว่าลักษณะพื้นฐานของเนื้อพระสมเด็จฯที่ทำให้สามารถแยกเนื้อพระสมเด็จฯแท้ (เนื้อนิยม) ออกจากเนื้อพระประเภทอื่น มาจากหลักพิจารณาที่ว่าพระสมเด็จฯนั้นเป็นลักษณะของเนื้อปูนปั้น (หรือเนื้อปูนตำ) ตามภูมิปัญญาโบราณ เป็นงานศิลปกรรมสาขาหนึ่งของช่างสิบหมู่ โดยในการเตรียมเนื้อพระสมเด็จฯนั้นต้องผ่านกรรมวิธีที่สำคัญมากคือการตำปูน โดยการนำปูนเปลือกหอยที่ผ่านกระบวนการหมักปูนมาโขลกตำผสมกับมวลสารวิเศษต่างๆรวมถึงวัสดุเชื่อมประสานเข้าด้วยกัน หลายขั้นตอนตามกรรมวิธีโบราณ ตามที่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เคยนำเสนอรายละเอียดไปบ้างแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ ลักษณะของเนื้อหามวลสารของพระสมเด็จฯที่ผ่านกระบวนการโขลกตำจึงมีความละเอียดเป็นลักษณะพื้นฐานเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะพิจารณาลักษณะเฉพาะของเนื้อพระเรื่องอื่นเป็นลำดับต่อไป ปูนตำนั้นถ้ามีการตำถึงขนาดจะมีความหนึกขึ้นเงาเมื่อผ่านช่วงเวลา ความละเอียดที่เป็นลักษณะพื้นฐานของเนื้อพระสมเด็จฯดังกล่าวเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขาเส้นหนึ่ง ในบรรดาหลายๆเส้นในการพิจารณาพระสมเด็จฯก็ว่าได้

บทสรุป

การทำความเข้าใจถึงลักษณะของพระสมเด็จฯปลอมนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการแยกพระแท้ออกจากพระปลอม อย่างไรก็ตามเรื่องที่สำคัญมากด้วยเช่นกันก็คือ ในบรรดาพระสมเด็จฯที่มีลักษณะไม่เหมือนพระแท้ (พิมพ์ทรงเนื้อหามาตรฐาน) นั้น ควรที่จะต้องแยกแยะให้ได้ด้วยว่า เป็นพระปลอม (พระที่เจตนาสร้างเลียนแบบพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต) หรือเป็นพระแท้ที่สร้างโดยเกจิอาจารย์ท่านอื่น หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นพระแท้ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตเช่นกันเพียงแต่พยานหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ เกศทะลุซุ้ม ที่มีความงดงามมาก มีคราบสีขาวคล้ายแป้งโรยพิมพ์ปรากฏทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ เป็นลักษณะของพระที่แทบไม่ผ่านการใช้ เนื้อหนึกนุ่ม มีวรรณะขาวอมน้ำตาล เส้นกรอบบังคับแม่พิมพ์มีลักษณะนูนเป็นเส้นลวดกันลาย พื้นผนังพระยุบตัวค่อนข้างมาก (น่าจะเกิดจากการผสมเกสรดอกไม้และอินทรีย์วัตถุค่อนข้างมาก มีผลต่อการยึดเกาะตัวของเนื้อปูนทำให้เกิดการร่อยตัวของโครงสร้างพระเช่น บริเวณบางช่วงของซุ้มผ่าหวาย) ตัดขอบค่อนข้างห่างทั้งสี่ด้าน (มักพบลักษณะเช่นนี้ในพิมพ์ใหญ่ เกศทะลุซุ้ม) มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น (ปรากฏค่อนข้างเยอะจากการย่อยสลายของอินทรีย์วัตถุ) และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบผสมกาบหมาก มีรอยยุบย่น แยก รอยริ้วระแหงให้เห็น มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ให้เห็นทั้งสี่ด้าน แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม