คำว่า “พระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต” ถ้าพิจารณาให้ละเอียดแล้วนั้น สามารถจำแนกแจกแจงออกมาได้เป็นหลายประเภท ตามวัตถุประสงค์การสร้างและความเกี่ยวข้องกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
ประเภทแรก “พระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯสร้าง” คือพระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต มีดำริให้สร้างขึ้น และเป็นผู้ควบคุมการสร้างทุกขั้นตอนรวมถึงการอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วยตัวท่านเอง
ประเภทที่สอง “พระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯช่วยสร้าง” คือพระสมเด็จฯที่บุคคลอื่นเป็นผู้สร้าง และท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ให้ความช่วยเหลือในการสร้างอย่างชัดเจน และเป็นพระเถระเกจิหลักเป็นประธานในพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสก
ประเภทที่สาม “พระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯเข้าร่วมพิธีอธิษฐานจิต” คือพระสมเด็จฯที่บุคคลอื่นเป็นผู้สร้าง และท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างอย่างชัดเจนนัก แต่เข้าร่วมในพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสก
พระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯสร้าง
พระสมเด็จฯประเภทนี้นั้น ข้อมูลจากตำราที่น่าเชื่อถือ เช่นของ ตรียัมปวาย บอกว่าเป็นพระที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต มีดำริให้สร้างขึ้น และเป็นผู้ควบคุมการสร้างทุกขั้นตอนและอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วยตัวท่านเอง โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดคติในการสร้าง การออกแบบพิมพ์ทรง การเตรียมมวลสารวิเศษ การสร้างแม่พิมพ์ การกดขึ้นรูปเนื้อพระ การอธิษฐานจิตปลุกเสก ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นมีรายละเอียดที่ต้องเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน กำกับด้วยกฤติยาคม และได้รับความช่วยเหลือในการสร้างพระในแต่ละขั้นตอนจากคนเป็นจำนวนไม่น้อย มีทั้งชาวบ้านที่เข้ามาช่วยงานวัด ช่างฝีมือชาวบ้าน เช่นช่างบ้านช่างหล่อ กลุ่มช่างสิบหมู่จากในวัง และกลุ่มช่างทองหลวงเป็นต้น
...
พระสมเด็จฯประเภทนี้ ประกอบด้วยพระสมเด็จฯที่สร้างที่วัดระฆังฯเป็นหลัก โดยเป็นพระสมเด็จฯแบบกรอบสี่เหลี่ยม ที่สร้างหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แล้ว (ท่านเจ้าประคุณฯได้รับสถาปนาฯเมื่อปี พ.ศ.2407) โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2409 (หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน) และคาดว่าน่าจะมีการสร้างไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงปีที่ท่านละสังขาร ในปี พ.ศ. 2415 (มีบางตำราบอกว่า พระสมเด็จฯวัดระฆังฯหยุดสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2411 แต่ไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมายืนยัน)
เมื่อประมวลจากตำราที่น่าเชื่อถือ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้มีดำริให้สร้างพระสมเด็จฯประเภทนี้ ครั้งใหญ่เป็นจำนวน 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย กล่าวคือครั้งแรกเป็นการสร้างพระสมเด็จฯแบบกรอบสี่เหลี่ยม แบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น (และอาจมีพิมพ์อื่นๆอีก) รวมถึงพระคะแนน (มีบางท่านกล่าวว่า พระคะแนนนี้ อาจเป็นพระที่มีขนาดเล็กกว่า หรือใหญ่กว่า ขนาดพระปกติโดยมีพิมพ์ทรงใกล้เคียงกัน หรืออาจเป็นพระพิมพ์ทรงอื่นไปเลย หรืออาจเป็นพระแบบเดียวกับพิมพ์ทรงปกติแต่มีการลงรักปิดทองเป็นจุดสังเกต ได้เช่นเดียวกัน) พระที่สร้างในครั้งแรกนี้ ตำราตรียัมปวาย บอกว่าสร้างได้ครบ 84,000 องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์ สำหรับวัตถุประสงค์ในการสร้างครั้งแรกนี้ เข้าใจว่าเพื่อแจกจ่ายญาติโยมและเพื่อนำไปบรรจุตามปูชนียสถาน เช่น พระองค์โต ที่ท่านเจ้าประคุณฯได้เคยไปสร้างไว้ยังสถานที่ต่างๆ ครั้งยังเป็นพระมหาโต ตั้งแต่ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องมาถึงรัชกาลที่ 4 มาจนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้มีการสร้างปูชนียสถานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ท่านครองสมณเพศ แม้กระทั่งวันที่ท่านละสังขาร ท่านก็ยังอยู่ระหว่างการคุมงานก่อสร้างพระยืนองค์โต (พระพุทธศรีอริยะเมตไตรย) ที่วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อวัตถุประสงค์ในการสืบทอดพระศาสนา ซึ่งน่าจะต้องใช้พระพิมพ์จำนวนมาก เพื่อไปบรรจุยังสถานที่ต่างๆดังกล่าว อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กรุณาให้ข้อมูลว่า ธรรมเนียมโบราณในการสร้างพระตามจำนวนพระธรรมขันธ์นั้น ในความเป็นจริงอาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างถึง 84,000 องค์ก็ได้ เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
มีประเด็นคำถามว่าในการสร้างพระสมเด็จฯแบบ 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ฯลฯ ที่สร้างใหญ่ในครั้งแรก หรือที่เรียกว่าพระสมเด็จเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง นั้นสร้างใน พ.ศ. ใดกันแน่ มีบางท่านกล่าวว่าอาจจะมีการสร้างในช่วง พ.ศ. 2400 หรือใกล้เคียง โดยเป็นการสร้างก่อนการสร้างพระใหญ่ องค์ก่อนหน้าองค์ปัจจุบัน (องค์ปัจจุบันคือ พระมหาพุทธพิมพ์ ซึ่งสร้างแทนองค์ก่อนหน้าที่พังทลายลง) โดยองค์ก่อนหน้าองค์ปัจจุบันนั้น เริ่มสร้างประมาณปี พ.ศ. 2410 เป็นการสร้างครั้งที่ 3 เพื่อทดแทนการพังทลายลงขององค์ที่สร้างครั้งที่ 2 โดยองค์ที่ 2 สร้างประมาณช่วงปี พ.ศ. 2406 – พ.ศ. 2407 การสร้างครั้งที่ 2 นั้น เป็นการสร้างเพื่อทดแทนการพังทลายลงขององค์หลวงพ่อโตที่สร้างในครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2400 - พ.ศ. 2405 ในการสร้างองค์หลวงพ่อโตครั้งแรกนั้นยังไม่มีการบรรจุพระ ส่วนการสร้างในครั้งที่ 2 มีการบรรจุพระ ซึ่งเมื่อคราวที่พระหลวงพ่อโต ที่สร้างครั้งที่ 2 ได้พังทลายลงหลังจากได้สร้างมาแล้ว 3-4 ปีนั้น ได้มีชาวบ้านมานำพระที่บรรจุไว้ไปเป็นจำนวนไม่น้อย (ข้อมูลจากหนังสือสามสมเด็จ ของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2523) (บางตำราบอกว่า พระใหญ่ที่วัดไชโยวรวิหารนั้นสร้างเพียง 2 ครั้ง (ไม่นับพระมหาพุทธพิมพ์) โดยรวม 2 ครั้งแรก ไว้เป็นครั้งเดียวกัน)
...
มีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่พระสมเด็จฯแบบ 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ฯลฯ ที่สร้างใหญ่ในครั้งแรก อาจจะมีการสร้างในช่วง พ.ศ. 2400 หรือใกล้เคียง เพียงแต่ว่าจากหลักฐานที่มีน้ำหนักที่สุดในปัจจุบันสรุปได้ว่า พระสมเด็จฯแบบกรอบสี่เหลี่ยมนั้นสร้างหลังจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้รับสถาปนาเป็นพระสมเด็จราชาคณะแล้ว 2 ปี ตรงกับปี พ.ศ.2409 ดังนั้น เมื่อใช้หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ทำให้สามารถอนุมานได้ว่า พระสมเด็จแบบ 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ฯลฯ ซึ่งเป็นพระแบบกรอบสี่เหลี่ยมเช่นกัน ได้มีการสร้างครั้งใหญ่ครั้งแรก ในช่วงปี พ.ศ.2409 (หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน) ด้วยเช่นกัน
สำหรับการสร้างใหญ่ครั้งที่ 2 นั้น ตำราของตรียัมปวายบอกว่าเป็นการสร้างเพื่อวัตถุประสงค์ในการอุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาของท่านเจ้าประคุณฯ เป็นหลัก โดยอ้างถึงคำกล่าวของพระอาจารย์ขวัญ “วิสิฏโฏ” วัดระฆังฯ ศิษย์พระธรรมถาวร (ช่วง จันทโชติ) ที่กล่าวว่าได้ทราบจากอาจารย์ของท่านว่า “ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้น สร้างได้ครบ 84,000 องค์ แต่การสร้างครั้งหลังได้ไม่ถึง และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ปรารภกับนายเทศว่า ฉันเห็นจะสร้างพระได้ไม่ครบ 84,000 องค์เสียแล้ว จึงให้รวบรวมพระสมเด็จรุ่นแรกๆ คัดเอาเฉพาะพิมพ์ทรง 5 ชั้น 6 ชั้น และ 7 ชั้น เข้ากับพระสมเด็จฯ ที่สร้างรุ่นใหม่จนครบ 84,000 องค์ บรรจุไว้ในกรุวัดไชโย อ่างทอง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้โยมมารดา” (ตำราของพระมหาเฮง อิฐฐาจาโร (พระครูกัลยาณานุกูล) บอกว่าพระที่สร้างในครั้งที่ 2 เป็นพระแบบฐาน 7 ชั้นเป็นหลัก)
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ของการสร้างแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ ได้มีช่างทองหลวงเข้ามาช่วยทำแม่พิมพ์ด้วย โดยเป็นแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ แบบ 3 ชั้น ตรียัมปวายได้กล่าวไว้ในหนังสือ พระเครื่องประยุกต์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ไว้ว่า “กล่าวกันว่า “นายเทศ” (กล่าวกันว่าเป็นหลานเจ้าพระคุณฯ) บ้านอยู่ถนนดินสอ เป็นผู้แกะแม่พิมพ์ขึ้นถวายท่านเจ้าพระคุณฯ เป็นเบื้องแรก ซึ่งเข้าใจว่าเป็นพิมพ์ทรงเส้นด้าย, พิมพ์ทรงฐานคู่, พิมพ์ทรงสังฆาฏิ เป็นต้น สำหรับพิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตรนั้น เชื่อกันว่าเจ้าพระคุณฯ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ต่อมาเจ้าวังหลังพระองค์หนึ่ง ซึ่งรับราชการอยู่ในกรมช่างสิบหมู่ ได้คิดออกแบบใหม่ถวาย กล่าวคือ ได้ดัดแปลงแก้ไขจากแบบเก่าๆ ให้ได้ลักษณะงดงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม และในที่สุด หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองหลวงราชสำนัก ร.4 เป็นผู้แกะพิมพ์ถวาย ซึ่งนับว่าเป็นแบบพิมพ์ที่งดงามมาก แฝงลักษณะศิลปแบบโบราณเข้าไว้อย่างสมบูรณ์ ลักษณะของกรอบมีขนาดมาตรฐาน ได้อัตราส่วนประมาณดังนี้ กว้าง 1 นิ้ว ยาว 1.50 นิ้ว หรือเป็นอัตราส่วนระหว่างความกว้างและความยาวเป็น 2:3 สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีอัตราส่วนเช่นนี้ เรียกว่า “กรีค ออปลอง” เป็นศิลปเหลี่ยมลูกบาศก์ของชนชาติกรีคโบราณ อันมีชื่อเสียงมาก เป็นที่นิยมกันมาจนทุกวันนี้ เพราะจัดว่าเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีสัดส่วนงดงามที่สุด ...
...
เป็นที่เชื่อได้ว่า แบบพิมพ์ที่หลวงวิจารณ์เจียรนัยประดิษฐ์ขึ้นนั้น ได้แก่ พิมพ์ทรงใหญ่ (หรือพิมพ์ทรงพระประธาน), พิมพ์ทรงเจดีย์, พิมพ์ทรงฐานแซม, พิมพ์ทรงปรกโพธิ์, และพิมพ์ทรงเกศบัวตูม”
น่าสนใจว่า ตรียัมปวายได้สรุปไว้ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 ไว้ว่า พิมพ์ทรงมาตรฐานที่สร้างโดยกลุ่มช่างทองหลวงของหลวงวิจารณ์เจียรนัย นั้นยังรวมถึง พิมพ์ทรงเส้นด้าย, พิมพ์ทรงฐานคู่, พิมพ์ทรงสังฆาฏิ และพิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตร รวมเป็นจำนวน 9 พิมพ์ทรง โดยบอกว่าพิมพ์ทรงสังฆาฏิ มีปรากฏเฉพาะของบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงเส้นด้าย มีปรากฏเฉพาะของบางขุนพรหม, และพิมพ์ทรงฐานคู่ มีปรากฏเฉพาะของบางขุนพรหม แต่ทว่าในหนังสือ พระเครื่องประยุกต์ ของตรียัมปวายเอง บอกว่าทั้ง 3 พิมพ์ทรงนี้ เป็นพิมพ์ทรงของวัดระฆังฯ ซึ่งการที่ตรียัมปวายกล่าวไว้เช่นนั้น (มี 3 พิมพ์ทรงมีปรากฏเฉพาะของวัดบางขุนพรหม) ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 อาจจะหมายถึงว่า ทั้ง 3 พิมพ์ทรงของวัดบางขุนพรหมนี้ (พิมพ์ทรงเส้นด้าย, พิมพ์ทรงฐานคู่, พิมพ์ทรงสังฆาฏิ) เกิดจากการที่ช่างทองหลวงได้แกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่โดยใช้เค้าโครงพิมพ์ทรงเดิมของวัดระฆังฯ ที่ทำโดยนายเทศหรือกลุ่มช่างชาวบ้าน และโครงพิมพ์ทรงแบบเก่านั้นไม่ใช้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ แล้ว อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้ชำนาญการพระเครื่องอาวุโส ให้ข้อมูลว่า เคยเห็นพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงมาตรฐานแทบทุกพิมพ์ของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่เป็นเนื้อของวัดระฆังฯ ด้วยเช่นกัน (สำหรับการแกะแม่พิมพ์ของพระสมเด็จฯ แบบ 5 ชั้น 6 ชั้น และ 7 ชั้น ในการสร้างใหญ่ครั้งแรกนั้น เป็นไปได้ว่าเป็นการแกะแม่พิมพ์โดยนายเทศและกลุ่มช่างชาวบ้านเป็นหลัก ส่วนการแกะแม่พิมพ์แบบฐาน 7 ชั้น ในการสร้างใหญ่ครั้งที่ 2 นั้น น่าจะมีการเข้ามาช่วยเหลือโดยกลุ่มช่างสิบหมู่และอาจจะรวมถึงช่างทองหลวงได้ด้วย)
...
กล่าวโดยสรุป พระสมเด็จฯ ในกลุ่มนี้เท่าที่พบหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อว่าเป็นพระที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตเป็นผู้สร้าง ในปัจจุบันมีปรากฏเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆังฯ และพระสมเด็จวัดเกศไชโยเท่านั้น สำหรับพระสมเด็จฯ ที่พบที่สถานที่อื่นๆ นั้นต้องมีการแสวงหาหลักฐานประกอบการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อนำมายืนยันต่อไป
และมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ท่านเจ้าประคุณฯ อาจจะมีดำริให้มีการสร้างพระพิมพ์แบบอื่นที่ไม่มีรูปแบบตายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งอาจจะมีการสร้างที่วัดอื่นด้วยก็ได้ ซึ่งจะต้องมีการสืบค้นเสาะแสวงหาหลักฐานมายืนยันต่อไปเช่นกัน
พระสมเด็จฯ ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ช่วยสร้าง
พระสมเด็จฯ ประเภทนี้นั้น บุคคลอื่นเป็นผู้สร้าง และท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตให้ความช่วยเหลือในการสร้างอย่างชัดเจน และเป็นพระเถระเกจิหลักในพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสก
พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ถือว่าเป็นพระสมเด็จฯ ที่อยู่ในประเภทนี้ โดยเสมียนตราด้วง ผู้เป็นต้นตระกูล “ธนโกเศศ” และเป็นผู้ปฏิสังขรณ์ วัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรหม) เป็นผู้อาราธนา หนังสือพระเครื่องประยุกต์ ของตรียัมปวาย บอกว่า “ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาทำพิธีสร้างพระสมเด็จฯ ที่วัดอินทรวิหาร แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์องค์ประธานของวัดใหม่อมตรส การสร้างต้องการปริมาณมาก จึงใช้แม่พิมพ์ทุกแบบของวัดระฆังฯ ที่เป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า แม้จะเป็นบางแบบพิมพ์เลิกสร้างที่วัดระฆังฯ แล้ว เช่น พิมพ์ทรงเส้นด้าย และพิมพ์ทรงฐานคู่ก็ตาม แต่พิมพ์ทรงที่ไม่ปรากฏสำหรับกรุบางขุนพรหม ก็คือพิมพ์ปรกโพธิ์ คงจะเป็นเพราะแม่พิมพ์ดังกล่าวมีน้อย และค้นหาที่วัดระฆังฯ ไม่พบในขณะนั้น การดำเนินการสร้างพระสมเด็จฯ บางขุนพรหมนั้น ดำเนินกรรมวิธีเช่นเดียวกับการสร้างที่วัดระฆังฯ ทุกประการ กล่าวคือ มีเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นพระเกจิอาจารย์ ใช้แม่พิมพ์ของวัดระฆังฯ และใช้ผงวิเศษ 5 ประการของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ฉะนั้น พระสมเด็จฯ กรุวัดใหม่บางขุนพรหมจึงทรงคุณค่าเช่นเดียวกับของวัดระฆังฯ นอกจากในด้านความซึ้งของเนื้อ ซึ่งส่วนมากนับว่ามีน้อยกว่าของวัดระฆังฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นการสร้างครั้งเดียว ซึ่งต้องการสร้างปริมาณมาก ดังนั้นเนื้อจึงแก่ปูนขาวเป็นมวลสารมากกว่าของวัดระฆังฯ ซึ่งค่อยๆ สร้างไปเรื่อยๆ เมื่อผงวิเศษ 5 ประการหมด ท่านเจ้าพระคุณฯ ก็ทำผงขึ้นมาใหม่ แล้วผลิตพระต่อไป ดังนี้”
อย่างไรก็ตาม หนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย เช่นกัน ได้กล่าวไว้ว่า พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม พระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ในช่วงแรกไม่เป็นที่ยอมรับกันในวงการมากนักว่าสร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ต่อมาเมื่อมีการพบพระสมเด็จฯ พิมพ์นี้เมื่อคราวเปิดกรุพระเจดีย์ใหญ่ วัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรหม) จึงทำให้พระสมเด็จฯ พิมพ์นี้ได้รับการยอมรับกันในวงกว้าง น่าสนใจว่าพระสมเด็จฯ ประเภทที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตช่วยสร้างนี้ นอกจากพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมที่สร้างโดยเสมียนตราด้วง ที่ท่านเจ้าประคุณฯ ให้ความช่วยเหลืออย่างมากในการสร้างแล้ว ยังมีพระสมเด็จฯ ที่สร้างโดยผู้อื่นที่ท่านเจ้าประคุณฯ ให้ความช่วยเหลือในการสร้างปรากฏอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการค้นคว้าหาข้อมูลต่อไป
พระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯร่วมพิธีอธิษฐานจิต
พระสมเด็จฯประเภทนี้นั้น บุคคลอื่นเป็นผู้สร้าง และท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างอย่างชัดเจนนัก แต่เข้าร่วมในพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกในฐานะพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่ง และน่าจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดเตรียมมวลสารวิเศษ รวมถึงไม่น่าจะได้สนับสนุนเรื่องแม่พิมพ์ในการสร้างพระด้วย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้นอยู่ในฐานะของสมเด็จพระราชาคณะที่มีคนเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก ในตำราที่น่าเชื่อถือเช่นของตรียัมปวาย ยังได้พูดถึงบุคคลสำคัญระดับประเทศตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ระดับสูง และขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมาก ที่ให้ความเคารพนับถือต่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต และโดยประเพณีไทยในช่วงนั้นยังนิยมสร้างพระพิมพ์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการอาราธนาท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตไปร่วมในพระราชพิธีหรือพิธีต่างๆ เพื่อช่วยอธิษฐานจิตปลุกเสก พระสมเด็จฯในกลุ่มนี้มีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น พระสมเด็จสายวัง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันพระสมเด็จฯในกลุ่มนี้ยังปรากฏหลักฐานสนับสนุนไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะรวบรวมข้อมูลมานำเสนอในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯองค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์เล็ก ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดองค์หนึ่งในวงการพระสมเด็จฯ เป็นองค์ตำนาน มีความงดงามมากที่สุดองค์หนึ่ง มีขนาดเล็กกว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงเจดีย์ทุกพิมพ์ มีวรรณะขาวแตกลายงา ซึ่งเกิดจากการลงรัก ผ่านการล้างผิว เนื้อตุ้บตั้บ เนื้อมีลักษณะของความหนึกแกร่งแฝงความนุ่ม มีเม็ดพระธาตุ มีรอยหนอนด้น ปรากฏให้เห็น พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ด้านหลังเป็นแบบหลังสังขยา มีคราบรักหลงเหลือตามพื้นผิวพระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ทั้งสี่ด้านที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์