พระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงที่เล่นหากันด้วยมูลค่าสูงในปัจจุบันนั้น มีต้นกำเนิดมาจากการที่ตรียัมปวายได้ทำการสรุปพิมพ์ทรงโดยเรียกว่าเป็น “พิมพ์ทรงมาตรฐาน” ของพระสมเด็จฯ แบบสี่เหลี่ยม ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ที่สร้างขึ้นในยุคปลาย (ประมาณปี พ.ศ. 2409 หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน) ที่ได้ช่างทองหลวงเข้ามาช่วยทำ โดยตรียัมปวายได้เขียนอธิบายไว้ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 โดยอ้างถึงพระสมเด็จวัดระฆังฯ และพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ว่ามีพิมพ์ทรงมาตรฐาน ทั้งสิ้น 9 พิมพ์ทรงดังนี้ ...
“พิมพ์ทรงพระประธาน (พิมพ์ใหญ่) มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงเจดีย์ มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงฐานแซม มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงเกศบัวตูม มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม (ท่านเจ้าประคุณฯ ได้ร่วมออกแบบพิมพ์นี้ด้วย หรือที่เรียกว่าพิมพ์ทรงไกเซอร์), พิมพ์ทรงสังฆาฏิ มีปรากฏเฉพาะของบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงเส้นด้าย มีปรากฏเฉพาะของบางขุนพรหม, พิมพ์ทรงฐานคู่ มีปรากฏเฉพาะของบางขุนพรหม”
ในส่วนของพระสมเด็จเกศไชโยนั้น ตรียัมปวายได้ตีพิมพ์ภาพพระสมเด็จวัดเกศไชโย แบบ 5 ชั้น 6 ชั้น และ 7 ชั้น ลงในหนังสือพระเครื่องประยุกต์ ของตรียัมปวายเอง พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ซึ่งถือว่าเป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานได้เช่นเดียวกัน
...
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความว่า พระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงมาตรฐาน ตามตำราตรียัมปวายนั้นประกอบด้วย พระสมเด็จฯ แบบ 3 ชั้น (จำนวน 9 พิมพ์ทรง) ซึ่งเป็นของวัดระฆังฯ และวัดบางขุนพรหม และยังมีพระสมเด็จฯ แบบ 5 ชั้น 6 ชั้น และ 7 ชั้น ของวัดเกศไชโยอีกด้วย ตำราของครูอาจารย์ท่านอื่นนั้น อาจจะมีการกำหนดรูปแบบของพิมพ์ทรงเอาไว้แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ตำราในยุคหลังส่วนใหญ่ได้ยึดเอาตามแนวทางของตรียัมปวายเป็นหลัก โดยมีการกำหนดแนวทางการพิจารณาพิมพ์ทรงที่มีรายละเอียดมากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สำหรับการเล่นหาในยุคปัจจุบันนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาเช่นกัน พระบางแบบบางพิมพ์ทรงที่เมื่อก่อนไม่มีการเล่นหา แต่ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปก็มีการยอมรับเล่นหากันเป็นเรื่องที่พบได้เป็นปกติ อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยกล่าวไว้ว่า พระสมเด็จฯ แท้นั้นไม่จำเป็นต้องแพง อยู่ที่ผู้ครอบครองบูชาว่ารู้ถึงคุณค่าหรือไม่
น่าสนใจว่านอกจากพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงมาตรฐานแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้สร้างพระพิมพ์อื่น หรืออาจเรียกว่า “พระพิมพ์พิเศษ” ไว้ด้วยหรือไม่
หนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ของพระมหาเฮง อิฐฐาจาโร (พระครูกัลยาณานุกูล) พิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2495 (พิมพ์ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2510) ได้ให้รายละเอียด โดยอ้างจากคำบอกเล่าของพระอาจารย์ ขวัญ วิสิฏโฐ ที่บอกว่าได้รับข้อมูลมาจาก เจ้าคุณพระธรรมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโต และพระครูธรรมราด (เที่ยง) ถานานุกรมในสมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูล ณ อยุธยา) นักสะสมพระพิมพ์หลากหลายชนิด มีความชำนาญดูพระสมเด็จเป็นพิเศษ โดยบอกว่าพระสมเด็จฯ ที่เจ้าประคุณสมเด็จโตสร้างไว้นั้นมีถึง 73 ชนิด (เข้าใจว่ารวมถึง พระพิมพ์แบบที่ไม่มีรูปแบบตายตัว ที่ท่านสร้างช่วงก่อนได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะด้วย โดยหลังจากได้รับสถาปนาฯ ในปี พ.ศ. 2407 แล้วนั้นจะเป็นพระพิมพ์แบบกรอบสี่เหลี่ยมเป็นส่วนใหญ่) โดยบอกว่า ณ เวลานั้น สืบทราบได้ 29 ชนิด “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตแบ่งพระทั้ง 29 ชนิดนี้ ออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะของพระ ประกอบด้วย กลุ่มใกล้เคียงพิมพ์ทรงมาตรฐาน และ กลุ่มพิมพ์ทรงพิเศษ
กลุ่มใกล้เคียงพิมพ์ทรงมาตรฐาน
พระสมเด็จฯ กลุ่มนี้ ซึ่งมีลักษณะและขนาดที่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงมาตรฐานของตรียัมปวายได้ มีจำนวนทั้งสิ้น 6 ชนิด ดังต่อไปนี้
1. หูบายศรี (พระกรรณยาวงอนดุจบายศรี) 6 ชั้น กว้าง 2.2 ซม. ยาว 3.3 ซม.
2. หูบายศรี 7 ชั้น กว้าง 2.4 ซม. ยาว 3.5 ซม. (ตำรามหาเฮงฯ บอกว่าหูบายศรี 6 ชั้น หายากกว่า 7 ชั้น)
3. เศียรบาตร กว้าง 2.5 ซม. ยาว 3.5 ซม.
(มีลักษณะเป็นพระเศียรโต เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “ทรงไกเซอร์” 3 ชั้น ด้านหลังมีรอยหัวแม่มือ 2 รอย)
...
4. ทรงเจดีย์ (ลักษณะพระงาม) 3 ชั้น กว้าง 2.2 ซม. ยาว 3.5 ซม.
(ตำราพระมหาเฮงฯ ไม่ได้พูดถึงพระสมเด็จฯ พิมพ์ใหญ่โดยตรง แต่น่าจะจัดรวมไว้ในกลุ่มพิมพ์ทรงเจดีย์นี้ด้วยเช่นกัน)
5. ฐานแซม (ตำรามหาเฮงฯ บอกว่า ฐานมีชั้นเล็กแซมชั้นใหญ่ ว่าทางมหาเมตตานิยมดีนัก)
(พิมพ์ทรงเกศบัวตูมนั้นน่าจะจัดรวมอยู่ในพิมพ์ฐานแซมนี้ด้วยเช่นกัน)
6. ปรกโพธิ์ใบ (บริเวณเบื้องบนพระเศียรมีกิ่งและใบโพธิ์) 3 ชั้น กว้าง 2.4 ซม. ยาว 3.6 ซม.
(ตำราพระมหาเฮงฯ บอกว่า พระปรกเมล็ดโพธิ์ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานแจก เมื่อคราวเกิดโรคอหิวาต์ครั้งใหญ่ในปีระกา พ.ศ. 2416 สอดคล้องกับตำราของตรียัมปวาย ที่ได้อ้างถึงคำกล่าวของพระอาจารย์ขวัญ “วิสิฏโฏ” ว่า “เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จเนื้อชานหมากด้วย คู่กับเนื้อผงใบลานเผา โดยที่เนื้อผงใบลานเผาเป็นพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ซึ่งมี 2 แบบคือ ชนิดโพธิ์เมล็ดและโพธิ์ใบ และกล่าวว่าเนื้อพิเศษทั้ง 2 ชนิดนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทูลเกล้าถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และได้ทรงพระราชทานแจกข้าราชการใน พ.ศ. 2416 ซึ่งเป็นปีที่เรียกกันว่าปีระกาป่วงใหญ่ หลังจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้สิ้นแล้วปีหนึ่ง”)
...
กลุ่มพิมพ์ทรงพิเศษ
พระกลุ่มนี้เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณะประกอบกับขนาดพระแล้วไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงพิมพ์ทรงมาตรฐานได้ โดยมีทั้งสิ้น 23 ชนิดดังนี้
1). พระคะแนนพัน (รุ่นแรก) 3 ชั้น มี 3 อย่างคือ สีดำ (อยู่คงกระพันชาตรี) สีขาวมีกลิ่นหอม (แก้โรคต่างๆ) สีขาว ไม่มีกลิ่น (ทางเมตตามหานิยม) มีขนาดเดียวกัน กว้าง 4.2 ซม. ยาว 6.1 ซม.
2). ขอบกระด้ง (หลังกาบกล้วย) 3 ชั้น (เป็นพระคะแนน กรุวัดไชโย) รูปไข่ กว้าง 5.5 ซม. ยาว 8.5 ซม.
3). พระคะแนนพัน (รุ่นหลัง) 7 ชั้น กว้าง 2.3 ซม. ยาว 5.5 ซม.
4). หลวงพ่อโต (สีอิฐเจือดำ) มี 3 อย่าง คือที่ใต้ฐานมีรอยเล็บหัวแม่มือสองรอย ที่ด้านหลังมีรูหนึ่งรู ที่ด้านหลังมีรูสองรู มีขนาดเดียวกัน กว้าง 2.5 ซม. ยาว 3 ซม.
(ตำราพระมหาเฮงฯ อ้างถึงคำกล่าวของพระธรรมถาวร ว่า “หลวงพ่อโต” มีอยู่ในทุกกรุพระสมเด็จและว่ามีพระสมเด็จอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “หลวงพ่อโป้” รูปลักษณะอย่างเดียวกับหลวงพ่อโต แต่ขนาดเล็กกว่าและมักเป็นดินเผา ว่าเมื่อปีที่รัชกาลที่ 4 เสวยราชย์ พ.ศ. 2394 ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เกรงจะต้องรับพระราชทานสมณศักดิ์ ท่านจึงหลบไปพักที่กรุงเก่าอยุธยา ได้จัดสร้างพระพิมพ์ชนิดนี้ขึ้นในคราวนั้น)
5). เศียรกระแต (พระพักตร์เรียว) 3 ชั้น กว้าง 2 ซม. ยาว 3.4 ซม.
(พระพิมพ์นี้มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงพระพิมพ์ทรงมาตรฐาน เพียงแต่ว่ามีลักษณะพระพักตร์ที่แตกต่างออกไป หนังสือของพระมหาเฮงฯ ได้แสดงรูปตัวอย่างพระพิมพ์นี้และอีกหลายพิมพ์ในกลุ่มพิมพ์พิเศษนี้เอาไว้ด้วย)
6). ขุนแผน (หลังกาบกล้วย) กว้าง 2.5 ซม. ยาว 4.7 ซม.
...
7). ใบลานเผา สีดำ 3 ชั้น กว้าง 2 ซม. ยาว 3.2 ซม.
(พระพิมพ์นี้มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงพระพิมพ์ทรงมาตรฐาน ตามตำราตรียัมวายบอกว่ามีอยู่จริง แต่ระบุไว้ว่าเป็นพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ซึ่งมี 2 แบบคือ ชนิดโพธิ์เมล็ดและโพธิ์ใบ แต่เข้าใจว่าที่ระบุไว้ที่นี้ น่าจะเป็นพิมพ์ทรงอื่น)
8). ชานหมาก สีดำ 3 ชั้น กว้าง 2.2 ซม. ยาว 3.4 ซม.
(พระพิมพ์นี้มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงพระพิมพ์ทรงมาตรฐาน ตำราตรียัมปวายบอกว่า เนื้อชานหมากเป็นพิมพ์ทรงพระประธาน)
9). นางพญา รูปหน้าจั่ว ไม่มีฐาน มี 2 อย่างคือสีแดงหม่น (ค่อนดำ) และสีขาว (ขนาดเดียวกัน ฐานล่างสุดกว้าง 1.8 ซม. ยาว 2.5 ซม.)
10). ปรกเมล็ดโพธิ์ (ที่บริเวณพระเศียร มีปุ่มกลมเล็กหลายปุ่ม) สีเขียวคล้ำ เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “สมเด็จเขียว” 3 ชั้น กว้าง 2 ซม. ยาว 4.5 ซม.
11). พระประจำวัน (ว่ามีครบทั้ง 7 วัน พระประจำวันพุธ (อุ้มบาตร) กว้าง 2 ซม. ยาว 4 ซม.)
(หนังสือ “พระพิมพ์เครื่องรางกับพระพุทธรูปบูชา” ของ ร.อ.หลวงบรรณยุทธชำนาญ (สวัสดิ์ นาคะสิริ) ต้นฉบับเขียนไว้เมื่อปี พ.ศ. 2488 ได้กล่าวไว้ว่า “... เรื่องพระสมเด็จพุฒาจารย์มีมากมายหลายชนิด เนื้อก็มีต่างๆกัน มีทั้งนั่ง ทั้งยืน ทั้งนอน เหลือที่จะบันทึกลงไว้ให้หมดได้ ...” อย่างไรก็ตาม พระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตที่สร้างไว้ทั้งสามวัด คือวัดระฆังฯ วัดบางขุนพรหม และวัดเกศไชโย ส่วนใหญ่จะเป็นพระนั่ง มีเป็นพระนอนบ้างในส่วนของวัดระฆังฯและวัดบางขุนพรหม (พิมพ์ไสยาสน์) ส่วนพระยืนนั้นมีปรากฏที่กรุเจดีย์เล็กวัดบางขุนพรหมเท่านั้น)
12). พระเจ้าสิบทิศ (มีพระเรียงลำดับบนแผ่นกระเบื้องไทย 10 องค์) สีดำ มี 2 อย่าง คือพระปางมารวิชัยและพระปางสมาธิ ขนาดเดียวกัน กว้าง 10.5 ซม. ยาว 17.2 ซม.
(ว่ากันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปพักแรม ณ ที่ใดนานวัน ท่านมักจะสร้างพระพิมพ์ชนิดนี้ไว้ที่นั่นเสมอ และว่าพระชนิดนี้ป้องกันไฟได้ดีนัก)
13). อกร่องหูยาน (คือพระอุระเป็นร่อง พระกรรณยาวงอน) สีเหลือง 7 ชั้น หนา
(ตำราพระมหาเฮงฯ ยังบอกด้วยว่า มีพระพิมพ์ชนิดอกร่องหูยานอีกอย่างหนึ่ง สีขาวเหลืองดุจใบลาน บาง 9 ชั้น (ใหญ่กว่า 7 ชั้นเล็กน้อย) ด้านหลังมีรอยนิ้วหัวแม่มือ ว่าพระครูธรรมานุกูล (ภู จันทสโร มักเรียกกันว่า “หลวงปู่ภู”) วัดอินทรวิหาร สร้าง ท่านผู้นี้เกิดในรัชกาลที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2372 เป็นศิษย์ท่านเจ้าประคุณฯ ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ ผู้คนนิยมนับถือมาก ถึงมรณภาพเมื่อปีวอก พ.ศ. 2475 อายุ 103 ปี)
14). คะแนนร้อย (รุ่นแรก) หลังเบี้ย ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย
15). รูปใบโพธิ์ (รูปลักษณะเหมือนใบโพธิ์)
16). ไข่ผ่าซีก (รูปลักษณะเหมือนไข่ผ่าซีก ว่ามีอยู่ที่กรุวัดชีปะขาว)
17). หัวแม่มือ (รูปลักษณะเหมือนนิ้วหัวแม่มือ สีอย่างเดียวกับสมเด็จเขียว ว่าเป็นพระหมอ เมื่อจะรักษาโรค ให้เอาพระนี้ใส่บาตรที่มีน้ำ ถ้าพระจมว่าคนไข้ตาย ถ้าพระลอยว่าคนไข้หาย ว่าพระชนิดนี้ เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักให้แก่ผู้เป็นหมอ)
18). รูปเจดีย์ (ทำเป็นรูปพระเจดีย์ในม่านแหวก ว่าพระชนิดนี้ใครจับต้องมักขนลุก)
19). เม็ดขนุน (รูปลักษณะกลมรีดุจเม็ดขนุน ว่าพระชนิดนี้เก็บรักษายาก มักจะสูญหายเสียโดยมาก)
20). ปิดทอง (คือปิดทองทั้งด้านหน้าและหลัง)
21). ดินสอเหลือง หลังเบี้ย 3 ชั้น (รุ่นแรก)
22). เปลือกกล้วยน้ำว้า (คือทำด้วยเปลือกกล้วยน้ำว้า)
23). เกสรดอกไม้ (ทำด้วยเกสรดอกไม้ต่างๆ)
พระพิมพ์พิเศษที่มีบันทึกไว้ในตำราของพระมหาเฮงฯ เหล่านี้ถือว่าเป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจโดยมีความเกี่ยวข้องกับพระสมเด็จฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต แต่จะมีน้ำหนักในทางพิสูจน์หลักฐานมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับคุณค่าในการพิสูจน์ หลักฐานประกอบอื่นๆและการค้นคว้าเพิ่มเติม และนอกจากพระสมเด็จพิมพ์พิเศษเหล่านี้แล้ว ยังอาจจะมีพระสมเด็จฯพิมพ์อื่นๆที่ตำราตรียัมปวายมีพูดถึงอยู่อีกก็ได้ เช่นพระสมเด็จสายวัง การศึกษาพระสมเด็จฯในยุคปัจจุบันมีการเปิดกว้างยอมรับแนวคิดใหม่ๆมากขึ้น มีวิธีการพิสูจน์ทราบที่มีความหลากหลายมากขึ้น “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เชื่อว่าวันใดวันหนึ่งพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงต่างๆที่ครั้งหนึ่งไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก อาจจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้างก็เป็นได้
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯองค์ครู อีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากอีกองค์หนึ่ง เป็นองค์ตำนาน มีความงดงามมากองค์หนึ่ง วรรณะขาวอมเหลือง เป็นพระที่จุ่มรักน้ำเกลี้ยงปรากฏให้เห็นเป็นสีเข้มบนพื้นองค์พระ เนื้อมีความละเอียด มีลักษณะของเนื้อหนึกแกร่ง มีเม็ดพระธาตุ มีรอยหนอนด้น รอยรูพรุนเข็ม ปรากฏให้เห็น พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ด้านหลังเป็นแบบหลังสังขยาผสมกาบหมาก มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ทั้งสี่ด้านที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์